สาวนักช้อป ทั้งหลาย ที่เคยพ่ายแพ้ให้กับป้ายลดราคาสีแดง ๆ ตัวโต ๆ ทิ่มตายั่วใจให้สองขาเดินนำร่างของสาว ๆ ก้าวเข้าไปอย่างเสียไม่ได้ แรก ๆ ก็อาจจะบอกตัวเองว่าแค่เดินเข้าไปดูเฉย ๆ ไม่ซื้อหรอก แค่อยากรู้ว่าเขาเอาอะไรมาลดบ้าง แค่อยากรู้ว่าเป็นคอลเล็คชั่นไหน แค่อยากรู้ว่าสีเสื้อเทรนด์ไหนกำลังจะตกไป ก็แค่นั้น แต่ขากลับออกจากร้านเป็นต้องมีติดมือออกมาสักถุงสองถุง พร้อมกับอาการทรัพย์จางทางสีหน้านิด ๆ ตอนที่กลับถึงบ้านแล้ว ถ้าคุณสาว ๆ ไม่อยากตกเป็นเหยื่องานลดกระหน่ำราคาในครั้งถัดไป มาท่องคาถากันเงินไหลไปพร้อม ๆ กันนะคะ
คาถากันเงินไหล บทที่ 1
“ป้ายเซลล์ทำอะไรฉันไม่ได้”
ก่อนจะถูกมนต์สะกดจากป้ายพื้นสีแดงตัวอักษรสีขาวใหญ่ ๆ นั้น คุณต้องถามตัวเองก่อนค่ะว่า ของที่บ้านที่อัดแน่นอยู่เต็มตู้นั้น ในหนึ่งเดือนคุณใส่ได้ครบทุกชุดหรือเปล่า และเจ้าเสื้อผ้าที่ลดราคาแขวนเต็มราวอยู่ตรงนั้นจะย้ายเข้าไปในตู้เสื้อผ้าของคุณเพราะอะไร ลองนึกย้อนดูสิคะว่า ของลดราคาที่คุณขนซื้อไปเมื่อครั้งที่แล้ว คุณได้หยิบออกมาใส่ไปกี่ครั้งแล้วคะ หลาย ๆ ครั้งที่สาว ๆ ซื้อของลดราคาเพราะเห็นกับราคาสินค้าที่ลดลงเพียงอย่างเดียว จนลืมไปว่าของชิ้นนั้นไม่ได้จำเป็นกับสาว ๆ เลย เพราะมีของคล้าย ๆ กันอยู่มากพอแล้วค่ะ
ดังนั้น ทำใจแข็งเข้าไว้ค่ะ ให้เหตุผลในการใช้จ่ายเงินในแต่ละครั้งกับตัวเองก่อน จากนั้นก็ท่องในใจไว้แล้วเดินผ่านประตูร้านออกมาซะ ป้ายเซลล์ทำอะไรฉันไม่ได้
คาถากันเงินไหล บทที่ 2
“ของชิ้นนี้ มันใช่กับคุณจริง ๆ หรือ”
ถ้าสาว ๆ ไม่สามารถผ่านป้ายลดราคาไปได้ หรือ คาถาบทที่ 1 ทำให้คุณละสายตาไปจากกองเสื้อผ้าข้าวของเหล่านั้นไปได้ งั้นก็ถึงเวลาที่สาว ๆ ต้องงัดคาถาบทที่ 2 มาใช้แล้วค่ะ ให้สาว ๆ ถามตัวเองอีกครั้งว่า เสื้อผ้า หรือ สิ่งของที่สาว ๆ กำลังหยิบและลังเลอยู่นั้น คุณชอบของชิ้นนั้นจริง ๆ หรือว่าแค่เห็นป้ายราคาที่ถูกลงก็เลยจะซื้อไว้ก่อน เพราะถ้าคุณสาว ๆ ไม่ได้ชอบของชิ้นนั้นมากนัก คุณซื้อไปก็คงไม่ค่อยได้ใช้หรอกค่ะ หรือถ้าสิ่งของนั้นเพียงแค่หน้าตาน่ารัก สีสวยดี แต่คุณไม่เคยใช้ปากกาหมดด้ามเลยสักด้าม แล้วบนโต๊ะที่ทำงานหรือที่บ้านก็มีปากกาลายน่ารักแบบนี้อยู่ตั้งเยอะ คุณคงน่าจะได้คำตอบแล้วว่า ของชิ้นนี้ไม่จำเป็น และ ไม่ใช่สิ่งที่คุณ ๆ ต้องมาเสียเงินและเสียเวลายืนเลือกต่อไปเลยค่ะ ท่องไว้ในใจ ของพวกนี้ไม่จำเป็น ไม่ซื้อ แล้วค่อย ๆ เดินออกจากร้านค่ะ
คาถากันเงินไหล บทที่ 3
“ห่าง ๆ ไว้ ยิ่งไกลก็ยิ่งดี”
สาว ๆ หลายคน มักขาดสติเวลาเจอของที่ถูกใจ มือจะยอมควักเงินออกจากกระเป๋าได้โดยง่าย ๆ ประมาณว่า อารมณ์อยากได้มาเป็นเจ้าของก็ไม่ทันได้คิดใคร่ครวญให้ดี และนี่อาจเป็นเหตุให้เสียใจทีหลัง เพราะเมื่อได้มาครอบครองก็จะเริ่มติว่า ขนาดเล็กไปบ้างหล่ะ, ไม่มีที่ล็อคด้านข้างบ้างหล่ะ, ไม่มีช่องใส่ของเยอะ ๆ เลย หรือ หนังแบบนี้ไม่ค่อยทนเลย สารพัดข้อเสียที่คุณ ๆ ไม่ทันคิดตอนก่อนจะซื้อค่ะ เพราะความอยากได้เพียงชั่ววูบก็เลยรีบ ๆ คว้ามา ดังนั้น ถ้าคุณก็เป็นอีกคนที่เวลาไปซื้อของมักจะหลุดไปในอีกมิติที่ขาดเหตุผลไปหล่ะก็ ให้พาตัวเองออกมาไกล ๆ จากของเหล่านั้นทันทีค่ะ แล้วลองสังเกตตัวเองทีหลังว่า เมื่อกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว คุณ ๆ ยังคิดถึงของชิ้นนั้นอยู่หรือเปล่า ยังพบแต่ข้อดีของสิ่งของชิ้นนั้นอยู่หรือเปล่า หรือว่า คิดข้อเสียของสิ่งของชิ้นนั้นได้บ้างมั๊ย นี่ก็จะเป็นอีกหนึ่งคาถาให้คุณสกัดความอยากได้ลงไปก่อน และเรียกสติตัวเองกลับมา คุณก็จะรู้ว่าของชิ้นนั้น ไม่ใช่ของที่คุณต้องการอะไรนักค่ะ มาถึงคาถาบทสุดท้าย
คาถากันเงินไหลบทที่ 4
“เงินน่ะมีพอมั๊ย”
เป็นคาถาสุดท้ายที่สำคัญที่สุด สกัดดาวรุ่งมาได้หลายชิ้นนะคะ ถ้าคุณเป็นคนที่มักจะใช้จ่ายผ่านการรูดบัตรเครดิต ก็สะกิดแขนตัวเองถามดูว่า คุณรูดอะไรไปแล้วบ้าง, คุณจ่ายได้เต็มจำนวนหรือจะจ่ายแบบผ่อนชำระ, คุณแน่ใจจริง ๆ หรือว่าเงินในอนาคตมีมากพอที่จะจ่ายได้ทั้งหมด และ เรื่องเงินที่จะใช้จ่ายต่อจากนี้หล่ะค่ะ จบไปด้วยหรือเปล่าคะ ถ้าความชอบในของชิ้นนี้จะทำให้เป็นหนี้ก้อนโตในอนาคต คุณยังอยากจะได้ของชิ้นนั้นมาใช้อีกหรือเปล่าค่ะ หรือถ้าจะให้ดี บอกตัวเองว่า รอก่อน รอให้มีเงินสดเงินก้อนแล้วค่อยมาซื้อดีกว่านะคะ อีกข้อสุดท้าย ก็คือคุณควรย้ำถามตัวเองก่อนจับจ่ายแต่ละครั้งว่า เดือนนี้ได้นำเงินไปฝากธนาคารบ้างหรือยัง ถ้ายัง แทนที่จะซื้อของเหล่านี้เพิ่ม ลองนำเงินไปออมจะดีกว่าหรือเปล่าค่ะ