กระแสที่ฮิตกันมาเรื่อยๆในขนาดนี้ ก็คงหนีไม่พ้น “ วิธีสร้างเงิน, ให้เงินทำงาน, ลาออกแล้วจะรุ่ง, ทำธุรกิจส่วนตัว ” จะพบเห็นกันบ่อยๆเมื่อเราเดินเข้าไปในร้านหนังสือ และหนังสือ How to สร้างแรงบันดาลใจหลายๆเล่มก็ต่างขายดิบขายดี ได้รับการตอบรับมีบุคคลให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก เพราะนักเขียน เขียนได้ดีจนคนอ่านแทบจะลาออกจากงานประจำไปทำธุรกิจส่วนตัวกันเยอะเลยทีเดียว
คงไม่มีใครปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า อยากมีชีวิตที่ดีและมีความมั่นคงในหน้าที่การงาน หลายคนทั้งวัยหนุ่มสาว ที่กำลังศึกษาอยู่จึงต่างพากันศึกษาเล่าเรียนวิชา เพื่อหวังว่าสักวันจะต้องได้ใบปริญญาและเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ซึ่งเป็นค่านิยมของคนในสังคมที่จะการันตรีได้ว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จในอนาคต แต่แล้วบทเรียนบทเก่าก็ได้ถูกโค่นล้มลงเรื่อยๆ เมื่อมีบทเรียนบทใหม่ขึ้นมาแทนที่สิ่งที่ทุกคนนั้นให้คุณค่า กลับถูกคนบางกลุ่มมองว่า มันเป็นวิธีการที่โง่เขลา บทเรียนใหม่ที่แตกต่างจากสิ่งเดิมๆ ไม่ต้องตั้งใจเรียนก็ได้ แค่ให้ทำในสิ่งที่รัก และยายามทำมันให้สำเร็จ ในทางทฤษฎีนั้นมันเป็นไปได้ มันสวยงาม แต่ในทางปฏิบัติมันช่างแตกต่างกัน เพราะอะไรน่ะหรือ ?
นั่นก็เป็นเพราะว่า คนเราทุกคนล้วนแล้วมีความเป็นปัจเจกบุคคลที่แตกต่างกันไป ทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และความคิด เพราะฉะนั้นบทเรียนบทหนึ่งๆ จึงไม่สามารถทำให้คนทุกคนคิดและปฏิบัติให้เหมือนๆกันได้ ถึงแม้สิ่งนั้นๆเมื่อใครนำไปปฏิบัติแล้วได้ผลลัพธ์ที่ดีก็จริง แต่นั่นก็มีสาเหตุมาจากหลากหลายประการ การทำงานก็เช่นเดียวกัน เราจะบอกว่า ทำวิธีนั้นดีกว่า คนอื่นทำแล้วประสบผลสำเร็จ และถ้าหากเราทำตามโดยเห็นว่ามันเป็น “ กระแส” ที่ใครๆเขาก็ทำกัน นั่นอาจจะไม่สามารถทำให้เราบรรลุไปจนถึงความสำเร็จได้ เพราะกระแสนั้น มีมาก็มีดับ เป็นแค่สิ่งชั่วครู่ชั่วยาม
การทำงานก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นงานประจำมีเงินเดือน กับงานที่ เป็นนายตัวเอง ทำธุรกิจส่วนตัว มีเวลาว่างมีอิสระ 2 อย่างนี้ อยากให้เข้าใจว่า มันล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ถ้าเราสนใจจะริเริ่มเลือกทางใดทางหนึ่ง เราก็ต้องมั่นใจแล้วว่า เราคิดได้รอบคอบและงานนั้นๆเหมาะสมกับตัวเราหรือไม่ เราจะขอหยิบยก กรณีตัวอย่างของบุคคลที่ทั้งทำงานประจำและที่ทำธุรกิจส่วนตัว ว่าพวกเขาจะเป็นตัวแทนของความคิดทั้งสองนั้นอย่างไร
มานีเป็นเพื่อนกับมานะตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย มานีเมื่อเรียนจบก็ไปสมัครงานเป็นพนักงานของบริษัทแห่งหนึ่ง เธอมีความสุขมากเพราะได้ทำงานตรงกับสายที่ได้ร่ำเรียนมา ส่วนมานะนั้นเมื่อเรียนจบ เขาก็ตระเวนหาสมัครงานอยู่นาน เขาได้ทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งแต่พอทำงานไปเรื่อยๆ พบว่าตนเองนั้น ไม่ค่อยมีความสุขกับงานเลย เพราะ ไม่ได้ทำงานในตำแหน่งที่เขาอยากจะทำ ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจละทิ้งชีวิตการเป็นพนักงาน ออกมาทำธุรกิจส่วนตัว บริหารงานเองจนประสบความสำเร็จ เมื่อเพื่อนรักทั้งสองมาเจอกันในงานเลี้ยงรุ่น ทั้งคู่จึงเริ่มบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเหล่านั้นสู่กันฟัง
มานี : สวัสดีมานะ เป็นไงบ้าง ไม่เจอกันนานเลยนะ สบายดีไหม
มานะ : สวัสดีจ่ะ มานี เราสบายดี ช่วงนี้ไม่มีอะไรต้องห่วง ธุรกิจที่ล้มลุกคลุกคลานมา ตอนนี้กำลังไปได้สวยเลยล่ะ
มานี : จริงสิ! ตั้งแต่ตอนนั้นที่เธอบอกว่า ลาออกจากบริษัท เราแทบไม่อยากจะเชื่อเลย เพราะเงินเดือนเธอสูงมาก สูงกว่าเราอีกนะ
มานะ : เงินเดือนสูงก็จริงนะ แต่เราไม่ค่อยมีความสุขกับมันซะเท่าไหร่ ในใจก็แอบหวั่นเหมือนกัน แต่ถ้าวันนั้นเราไม่ตัดสินใจ เราก็คงไม่มีวันนี้หรอกจริงไหม
มานี : นายเป็นคนเก่ง กล้าคิด กล้าทำ เหมาะสมแล้วล่ะกับสิ่งที่นายเลือก
มานะ : คงจะเป็นอย่างนั้น แต่เธอเองก็เก่งเหมือนกันนี่ ได้ข่าวว่า ได้โบนัสพนักงานดีเด่นประจำปีตลอด
มานี : เราคิดว่ามันเป็นรางวัลเล็กน้อยเท่านั้นล่ะ เราสนุกกับงาน มารู้ตัวอีกทีก็ติดดาวซะงั้น
มานะ : งานจะดีไม่ดีนี่ขึ้นอยู่กับเราจริงๆเลยนะ คนเราความพอใจต่างกัน แต่เราก็สามารถมีความสุขได้เท่าที่เราจะทำมันได้
มานี : ใช่แล้วล่ะ
ไม่ว่างานประจำ หรือ ทำธุรกิจส่วนตัว ย่อมมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับตัวเราด้วยว่า เหมาะสมกับงานแบบไหน พอดีกับมันหรือเปล่า อย่างเช่น
ถ้าคุณเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานอยู่เสมอ (ไม่ใช่แค่ตอนอ่านหนังสือแล้วฮึกเหิมนะ) ชอบเรียนรู้ กล้าคิด กล้าทำ เป็นคนที่ชอบวางแผนจัดการแล้วลงมือทำ กล้าเผชิญกับปัญหา มองการณ์ไกล มีวิสัยทัศน์ที่ดี สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคุณสมบัติของคนที่จะเป็นผู้นำในอนาคต จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะชอบเป็นนายตัวเองมากกว่าการเป็นลูกจ้างคนอื่น
แต่ถ้าคุณมีลักษณะที่ตรงกันข้าม ชีวิตต้องการความมั่นคง อยู่แบบเรียบง่ายและมีระเบียบแบบแผน ยึดติดกับสิ่งที่มีอยู่คือดีที่สุด ชอบเป็นผู้ตามและรับผิดชอบหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มกำลังความสามารถ ไม่ชอบเรื่องความเสี่ยง คุณอาจจะเหมาะที่จะเป็นลูกจ้างหรือพนักงานประจำมากกว่า เพราะงานประจำนั้นจะดูมั่นคงกว่าการออกไปทำธุรกิจที่ไม่รู้จะไปรอดหรือเปล่า แถมยังต้องมีต้นทุนอีกด้วย ยิ่งถ้าขาดทักษะความคิดสร้างสรรค์และการปรับตัวนั้น เป็นไปได้ยากว่าธุรกิจจะไปสวย สุดท้ายก็ล้มไม่เป็นท่า
เหมือนในทฤษฎีวิวัฒนาการที่บอกไว้ว่า สิ่งมีชีวิตที่จะอยู่รอดได้คือต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมอยู่เสมอ ยิ่งปัจจุบันโลกของเราเปลี่ยนแปลงไปเร็วมากขึ้นเท่าไหร่ คนเรายิ่งต้องปรับตัวให้รู้เท่าทันโลกมากขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่หลงไปตามกระแส แบบนั้นไม่ได้เรียกว่า ปรับตัว แต่เป็นการตกหลุมพรางต่างหากล่ะ เพราะฉะนั้นจงมีสติอย่าปล่อยให้ใครหรืออะไรมาจูงจมูก ล้างความคิดในสิ่งที่เราเป็นได้ จงเรียนรู้ที่จะรู้จักตนเอง ยอมรับตัวตนของเราเอง แล้วจะเข้าใจว่า เรานั้นเหมาะสมกับอะไรมากกว่ากัน