หนี้บัตรเครดิต
เป็นเรื่องที่หลายคนจะต้องประสบพบเจอ ทั้งที่ไม่มีใครที่อยากจะก่อหนี้โดยไม่จำเป็น แต่ในความจำเป็นก็ต้องยอมเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่นอกเหนือจากความจำเป็นแล้วก็ยังมีสาเหตุจากการขาดวินัยในการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต จึงนำไปสู่หนี้สินที่พอกพูนเพิ่มขึ้น เมื่อเป็นหนี้บัตรเครดิตแล้ว หลายคนสามารถที่จะแก้ไขและเคลียร์หนี้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่อีกหลายคนก็ต้องใช้ระยะเวลานานเพราะมีหนี้บัตรเครดิตหลายใบ ซึ่งวิธีการเคลียร์หนี้บัตรเครดิตเราได้กล่าวไปแล้วในหลายๆบทความก่อนหน้า แต่สำหรับบทความนี้ คือ
วิธีที่ล้างหนี้บัตรด้วยการ จ่ายขั้นตํ่า เคลียร์หนี้จนหมด วิธีการนี้ถูกต้องหรือไม่เราขออธิบายดังนี้
วิธีการปิดหนี้โดยเลือกชำระขั้นตํ่าไปเรื่อยจนหมดนั้นสามารถทำได้ แต่จะใช้ระยะเวลาที่นานมาก หรือเป็น 10 ปีก็เป็นได้ รวมทั้งดอกเบี้ยที่คำนวณรายวันเมื่อทำการบวกเข้าไปจะพบว่า ดอกเบี้ยอาจจะสูงกว่าหนี้ที่มีก็เป็นได้ ตัวอย่างเช่น
ตัวอย่างแบบประเมินคร่าวๆ หากมีหนี้บัตรเครดิต 40000 บาท เลือกชำระแบบขั้นต่ำทุกเดือน เดือนละ 4000 บาทดอกเบี้ย 28% ต่อปีเท่ากับ 2.33 % ต่อเดือน ถ้าจะชำระขั้นตํ่า 4000 ทุกเดือน ลูกหนี้จะต้องจ่ายเงิน เดือนละ 4000 บาททั้งหมด 10 เดือน บวกดอกเบี้ย 2.3 ต่อเดือนรวม 9200 หรือคิดเป็น 11 เดือนและถ้ายังคงชำระขั้นตํ่าสำหรับดอกเบี้ย 4000 เหลืออีก 5,200 ก็ต้องชำระต่อไปอีกในเดือนสุดท้ายต่อไปอีก ก็เท่ากับต้องชำระดอกเบี้ยไปเรื่อย จึงจะสามารถชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยหมด นี้ขนาดหนี้ก้อนเล็ก แล้วถ้าหนี้ก้อนโตจะมีดอกเบี้ยที่สูงขึ้นแล้วจะทำอย่างไร
จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นว่าหนี้ที่มีนั้นเป็นเงินที่ไม่สูงมาก แต่ถ้าเลือกวิธีชำระขั้นตํ่าไปเรื่อยๆ จะพบว่าเงินที่ต้องจ่ายจะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบสองเท่าของหนี้ต้นที่มี และระยะเวลาในการปลดหนี้จะกินเวลาเกือบสิบปี
คุ้มหรือไม่สำหรับวิธีนี้ ผู้อ่านน่าจะมองเห็นภาพแล้วว่าไม่ควรทำอย่างยิ่ง นอกจากจะเป็นการผัดผ่อนไปอย่างไม่มีเป้าหมายแล้ว ยังเหมือนกับเอาเงินไปทิ้งถึง 10 ปี โดยไม่ได้อะไรเลย แต่หากจำเป็นต้องชำระขั้นตํ่าจริงๆ ก็ทำได้แต่อย่าทำทุกเดือน เดือนไหนมีเยอะชำระเยอะ เพื่อเป็นการลดดอกเบี้ยขั้นต้นไปก่อน
ท้ายที่สุดแล้ววิธีการที่ดีที่สุดสำหรับ หนี้บัตรเครดิต คือพยายามเคลียร์หนี้ให้หมดในเวลาอันรวดเร็ว และไม่ก่อหนี้จากบัตรเพิ่มอีก หมายถึงหักบัตรทิ้งเลยนั้น การเลือกหนีหรือเพิกเฉยจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง และทางสถาบันการเงินก็จะทำการฟ้องร้องต่อศาลในที่สุด