ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะบอกว่า “เงิน” ไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่เชื่อเถอะ เราก็ไม่อาจสามารถปฏิเสธได้เลยว่า เงินเป็นส่วนประกอบที่ใหญ่มากในชีวิตของเรา คือ มันมีอยู่ในเกือบๆ ทุกกิจกรรมในชีวิตของเราเลยทีเดียว แล้วคุณรู้หรือไม่ว่า เงินคืออะไร?
‘เงิน’ คือ สัญลักษณ์ที่ใช้เป็นตัวแทนและตัววัดคุณค่าของสินค้าและบริการที่แลกเปลี่ยนระหว่างผู้คน ดังนั้น “คุณค่า” จึงเป็นสิ่งที่กำหนดรายได้ของคุณ คุณจะได้รับรายได้มากแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณส่งมอบคุณค่าของสินค้าหรือบริการของคุณให้แก่ผู้คนได้มากแค่ไหน แล้วคุณรู้หรือไม่ว่าทำไมบางคนถึงมีเงินไม่พอใช้? นั่นก็เป็นเพราะว่าเขาเหล่านั้นไม่ได้ส่งมอบคุณค่าให้กับผู้คนอย่างเพียงพอยังไงล่ะ
ตอนนี้คุณรู้แล้วว่า “คุณค่า” เป็นตัวกำหนดรายได้ของคุณ แล้วอะไรล่ะที่เป็นตัวกำหนดคุณค่า? มันขึ้นอยู่กับ 4 ปัจจัย ดังนี้ครับ
- อุปสงค์ (Demand) : สินค้าหรือบริการของคุณเป็นที่ต้องการในตลาดมากแค่ไหน? ตัวอย่างสินค้าที่มีอุปสงค์มาก เช่น สินค้าของ Apple โดยเฉพาะ iPhone คุณจะเห็นว่า Apple มีฐานลูกค้าเหนียวแน่นมาก ลูกค้าแทบจะรอซื้อตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ยังไม่ออกมาด้วยซ้ำ แสดงให้เห็นถึงความต้องการสินค้าในตลาด (อุปสงค์) ที่มีสูงมาก ดังนั้นถ้าคุณมีสินค้าหรือบริการที่เป็นที่ต้องการในตลาดมาก คุณก็มีโอกาสที่จะมีรายได้มากขึ้นตามไปด้วย
- อุปทาน (Supply) : สินค้าหรือบริการในตลาดที่เหมือนหรือคล้ายของคุณมีมากแค่ไหน? คุณลองนึงถึงธุรกิจที่มีคนแห่กันไปทำตามกันมากๆ อย่างเช่น ร้านกาแฟ สมัยนี้เราสามารถหาร้านกาแฟได้ง่ายมาก เพราะคนมาแห่กันเปิดร้านกาแฟกันเต็มไปหมด อะไรที่หาได้ง่าย คุณค่าของมันจะลดลงโดยอัตโนมัติ ในทางกลับกัน ถ้าคุณมีสินค้าหรือบริการที่มีอยู่อย่างจำกัด เช่น คุณเป็นหมอผ่าตัดซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน คุณค่าในตัวคุณจะสูงมาก เนื่องจากคุณค่าจะเพิ่มขึ้น เมื่ออุปทานมีจำกัด ยิ่งถ้าคุณสามารถส่งมอบคุณค่าที่มีน้อยคนที่สามารถทำได้ให้กับผู้คนอื่นๆ คุณก็จะยิ่งมีโอกาสได้รับรายได้มากขึ้นด้วย
- คุณภาพ (Quality) : สินค้าหรือบริการของคุณนั้น “ดีแค่ไหน”? หรือคุณเก่งแค่ไหนในธุรกิจของคุณ? ผมเชื่อว่าหลายคนคงรู้จักคุณบัณฑิต อึ้งรังษี ผู้สร้างชื่อเสียงจากการเป็นคอนดักเตอร์ระดับโลก ปัจจุบันเป็นทั้งนักเขียน วิทยากร และอีกหลายๆ ธุรกิจ สินค้าที่ออกจากมันสมองของคุณบัณฑิตนั้น ในวันแรกที่ออกสู่ตลาด ผู้คนแทบจะตัดสินใจซื้อในทันที เพราะเชื่อมั่นในคุณภาพภายใต้แบรด์ของคุณบัณฑิตอย่างมาก นี่คือตัวอย่างของคุณค่าที่อยู่ในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ คุณภาพยิ่งสูงขึ้นเท่าไหร่ คุณค่าก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ดังนั้นหากคุณยากมีรายได้สูงขึ้น ต้องรู้จักเพิ่มคุณภาพให้กับสินค้าหรือบริการของคุณให้สูงขึ้น รวมถึงพัฒนาตนเองให้เก่งขึ้นในธุรกิจของคุณ จำไว้ว่า ถ้าคุณอยากได้รับเงินสูงขึ้น คุณก็ต้องเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากขึ้น
- ปริมาณ (Quantity) : คุณสามารถส่งมอบปริมาณหรือจำนวนของผลิตภัณฑ์ให้กับผู้คนได้มากแค่ไหน? คุณจะมีรายได้มากมายก็ต่อเมื่อคุณสามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ของคุณสู่คนจำนวนมากได้ คุณจะต้องไม่มีข้อจำกัดในด้านปริมาณของผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะทำให้ไม่มีเพดานรายได้สำหรับคุณ คุณอาจจะมีผลิตภัณฑ์ต่อยอด (Add-on) ธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์หลักของคุณ เช่น หากคุณมีธุรกิจเกี่ยวกับขายเครื่องออกกำลังกาย คุณอาจจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับสุขภาพอื่นๆ เช่น อาหารเสริม น้ำมันนวดตัว หนังสือเกี่ยวกับสุขภาพ เป็นต้น นอกจากนี้คุณอาจจะใช้วิธีการโคลน (Clone) หรือการก็อบปี้ตัวคุณหรือผลิตภัณฑ์ของคุณให้มากขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด อย่างเช่น ที ฮาร์ฟ เอคเคอร์ ถือได้ว่าเป็นวิทยากรที่มีรายได้มากที่สุด เนื่องจากเค้าก็อบปี้ตัวเอง โดยส่งตัวแทนออกไปสอนคอร์สสัมมนาของเขาไปยังทั่วโลก เป็นต้น
นอกจากเรื่องของปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดคุณค่า และ เพิ่มคุณค่าเงิน แล้ว สิ่งสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่คุณต้องเรียนรู้คือ จังหวะเวลาในการทำธุรกิจ คุณมักจะเคยได้ยินอยู่เสมอว่า การทำธุรกิจนั้นมันขึ้นอยู่กับจังหวะเวลา แล้วคำถามคือ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าจังหวะเวลาไหน จึงจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ก่อนอื่นคุณต้องทำความเข้าใจก่อนว่า “จังหวะเวลา” คืออะไร?
จังหวะเวลา คือ การจับคู่กันระหว่าง ผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ กับความต้องการในตลาด นี่คือโจทย์สำคัญในการทำธุรกิจ ถ้าคุณสามารถเลือกผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ใช่ ในสถานที่ที่ใช่ ในจังหวะเวลาที่ใช่ โอกาสที่คุณจะประสบความสำเร็จในธุรกิจย่อมมีมากกว่า 50% คุณลองคิดดูว่าหากเรานำ iPhone ไปขายในช่วง 10 ปีที่แล้ว อะไรจะเกิดขึ้น ยอดขายอาจจะไม่สูงเหมือนกับตอนนี้ก็ได้ ดีไม่ดีอาจจะขายไม่ได้เลย เพราะว่าอะไร? เพราะว่ามันเป็นช่วงเวลาที่คนยังไม่มีความต้องการในผลิตภัณฑ์ตัวนี้ หรือถ้านำไปขายในอีก 10 ปีข้างหน้า ก็อาจจะขายไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะมันอาจเป็นสินค้าที่ล้าสมัยหรือตกยุคไปแล้ว จังหวะเวลาที่ควรเข้าตลาดมากที่สุด ก็คือเข้าตั้งแต่ในช่วงที่ความต้องการของผลิตภัณฑ์หรือบริการในตลาดยังมีมาก (อุปสงค์สูง) แต่อุปทานยังมีต่ำ ช่วงนี้คือช่วงต้นเทรนด์ เป็นช่วงที่ควรเกาะกระแส และเมื่ออุปทานเริ่มมากกว่าอุปสงค์ จึงจะเป็นช่วงที่เราควรกระโดดออกจากกระแส
จำไว้ว่า คุณค่า เป็นตัวกำหนดรายได้ของคุณ คุณต้องเรียนรู้ที่เพิ่มคุณค่าของสินค้าหรือบริการ เพื่อ เพิ่มคุณค่าเงิน โดยการจะพิจารณาปัจจัยทั้ง 4 ที่เป็นตัวกำหนดคุณค่า ซึ่งก็คือ อุปสงค์ อุปทาน คุณภาพ และปริมาณ และที่สำคัญต้องรู้ว่าจังหวะเวลาไหนที่เหมาะสมในการทำธุรกิจ “การเพิ่มคุณค่า และรู้จังหวะเวลาที่ใช่” จะทำให้คุณมีโอกาสประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจมากกว่าคนอื่นครับ