จากการที่นาย ทาโร อาโซะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของญี่ปุ่น ออกมาเปิดเผยหลังประชุมกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 ประเทศ (จี20) ว่า โจวเสี่ยวฉวน ผู้ว่าธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตลาดหลักทรัพย์จีนที่สูญมูลค่าไปราว40% นับตั้งแต่เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ว่า ‘ฟองสบู่แตก’
สะดุ้งกันไหมพี่น้องชาวไทย จีนไทยไม่ไกลกันนัก และ เราพึ่งพาจีนมากพอสมควรทางการค้าและหลายๆอย่าง จีนฟองสบู่ตลาดหุ้นแตก ดังโพละ งานนี้ตลาดหุ้นไทยอ่อนยวบกันละมั๊ง คงต้องถามนักลงทุนในตลาดหุ้นกันล่ะว่าตลาดหุ้นสัปดาห์นี้เป็นอย่างไร ซึ่งจากข่าวนี้บอกเลยว่าไม่ดีกับสภาวะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกแน่นอน ซึ่งผลกระทบนี้จะส่งผลอะไรกับเราแน่นอนว่าเรื่องหุ้นมีผลกันแน่ๆเพราะสัปดาห์ที่ผ่านมาหุ้นตกกันเป็นแทบๆ ส่วนเศรษฐกิจด้านอื่นนั้นอย่างที่ทราบๆกันคือจีนลดค่าเงินนั้นส่งผลกับการส่งออกซึ่งจีนเป็นทั้งคู่ค้าและคู่แข่ง การท่องเที่ยวแน่นอนว่ามีกระทบบ้างทั้งเรื่องเหตุระเบิด และ ค่าเงิน เพราะการใช้จ่ายในการท่องเที่ยวนั้นคนจีนต้องจ่ายสูงขึ้นจากค่าเงินที่ลดลง การซื้อของนำข้าจากไทยชาวจีนก็ต้องจ่ายสูงขึ้น ส่วนการส่งออกนั้นสินค้าจีนจะถูกกว่าเราแน่นอน ทำให้การส่งออกของเราได้รับผลกระทบไปเต็มๆ
หากมองมุมกว้างผลกระทบนั้นอาจยังไม่เห็นชัดนั้น แต่การที่จีนยอมรับในเรื่องนี้นั้นทำให้เราต้องหันกลับมามองในมุมของบ้านเราว่าตอนนี้สถานการณ์เศรษฐกิจที่แท้จริงเป็นอย่างไร และควรตั้งรับการอย่างไร ถึงจะไม่ล้มไปตามสภาวะของจีน ซึ่งมองในแง่คนธรรมดาที่ติดตามข่าวคงบอกไม่ได้มากนักแต่สิ่งที่เราต้องพึงระวังกันทุกคนคือเรื่องหนี้สินที่กำลังเป็นปัญหาของหลายๆคนเพราะความผันผวนในประเทศเรานั้น ส่งผลให้คนตกงานในแต่ละปีมีเพิ่มมากขึ้น การแข่งขันในเรื่องการจ้างงานมีมากขึ้น การค้าขายขยับตัวได้อย่างช้าๆ ซึ่งไม่เป็นผลดีมากนัก อุปสงค์อุปทานไม่ตรงกันเท่าไหร่ จากที่เราพอมองเห็นกันอยู่ ลองดูจากสภาพการค้าขายง่ายๆตามละแวกบ้านหรือที่ทำงานจะเห็นเลยว่าคนค้าขายปัจจุบันต้องหาเทคนิคการขายมาแข่งกันมากมาย บางร้ายเคยขายไม่กี่ชั่วโมงก็หมด ปัจจุบันต้องขายเกินเวลาที่เคยขาย เพราะกำลังซื้อลดลง หรือ อย่างการค้าออนไลน์ร้านค้าต่างๆเยอะมากขึ้น ราคาก็แข่งขันกันสูง ถูกบ้างแพงบ้างตามสินค้าที่ขายแต่ที่แน่ๆคือคนขายเยอะมากกว่าคนซื้อและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอาจจะดูเหมือนเป็นผลดีกับลูกค้าที่มีตัวเลือกเยอะ แต่ในทางการค้านั้นการแข่งขันสูงขึ้นทำให้หลายร้านต้องปิดตัวลงไปก็มี
จากการที่สภาวะเศรษฐกิจพร้อมจะพังและดิ่งเหวตลอดเวลา เราต้องหันมารัดเข็มขัดในเรื่องการใช้จ่ายให้อยู่ในความพอดีการไม่ระมัดระวังในการใช้จ่ายจะส่งผลให้เราลำบากในภายภาคหน้าหากเกิดสภาวะฟองสบู่แตกในบ้านเรา แม้ว่าภาครัฐจะพยายามแก้ปัญหาแต่มันต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร มันยังมองไม่เห็นทางออกของภาพรวม ในตอนนี้สิ่งที่เราทำได้คือต้องจัดการเรื่องเงินของเราและครอบครัวให้ดี ใครที่ทำธุรกิจต้องคิดแล้วคิดอีกในการลงทุนเงินแต่ละก้อนลงไปเพราะผลตอบแทนกว่าจะกลับมาเป็นกอบเป็นกำมันก็นาน และบ้านเราเป็นประเภทเห่อของใหม่ อะไรๆที่นิยมก็จะมีคนทำตามกันมากมายจนลืมใส่ใจคุณภาพหวังขายราคาแพงๆหากำไรสุดท้ายมันก็ไปไม่รอด บางครั้งการทำอะไรเล็กๆพอดีๆกับเงินและความสามารถที่เรามีอาจจะดูมั่นคงกว่าการทำอะไรที่ใหญ่โตลงทุนมากแต่สุดท้ายก็กลายเป็นไม่คุ้มทุนคุ้มค่าความเสี่ยง
ที่มาข่าว : http://www.posttoday.com/world/news/386362