ในทุกวันนี้ เรานั้นรู้ดีว่าการออมเงินนั้นสำคัญกับชีวิตประจำวันมาก เมื่อใดก็ตามที่เรานั้นต้องการสิ่งของต่างๆที่มีราคาแพง เราก็จะออมเงินเพื่อที่จะนำเงินที่เราเก็บไว้นั้น ซื้อของสิ่งต่างๆ มีคนจำนวนไม่น้อยนั้นที่เข้าใจความหมายของการออมเงินในแบบแคบมาก กล่าวคือเข้าใจเพียงว่าการออมเงินนั้นคือการเก็บเงินเพี่อที่จะเอาเหล่านั้นออกมาใช้ยามฉุกเฉิน นับได้ว่าเป็นความเข้าใจที่ไม่สามารถต่อยอดได้ และน้อยคนนักที่จะประสบความสำเร็จจากความคิดในรูปแบบนั้น เราควรที่จะปรับเข้าใจความหมายเสียใหม่
การออมเงินนั้น เปรียบเสมือนกับต้นน้ำที่ว่า ต้นน้ำนั้นมักจะเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญที่มีน้ำอยู่เรื่อยๆไหลเข้ามา ต้นน้ำนั้นเป็นแหล่งน้ำที่ทำให้หลายๆชีวิตนั้นได้รับประโยชน์จากการไหลลงข้างล่างของต้นน้ำ และเมื่อใดก็ตามที่น้ำจากต้นน้ำไหลลงแล้วนั้น เหล่าผู้คนต่างๆมากมายก็อาจจะพยายามทำเขื่อนเพื่อเก็บน้ำนี้ไว้ใช้ประโยชน์ต่างๆอีกมายมาย นับได้ว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากต้นน้ำที่ได้คุ้มค่า ซึ่งเรานั้นสามารถเปรียบต้นน้ำกับเรื่อง เงินออม ได้ดังนี้
-
ต้นน้ำนั้นมักเป็นจุดเริ่มต้นของน้ำ
ทุกสิ่งนั้นมักมีจุดเริ่มต้นเป็นของตัวเอง ต้นน้ำนั้นนับได้ว่าเป็นจุดที่มีน้ำขนาดใหญ่เพื่อที่จะไหลงสู่ที่ต่างๆ และการที่ต้นน้ำนี้นั้นจะไหลลงสู่ที่ต่างๆได้ล้วนต้องมีน้ำจากแหล่งต่างๆไหลเข้ารวมกัน การออมเงินก็เช่นกัน เราจะมีเงินเพื่อที่จะนำเงินต่างๆเหล่านั้นเพื่อนำไปใช้สิ่งต่างๆได้นั้น เราต้องมีเงินที่มากมายเสียก่อน โดยเงินต่างๆที่เข้ามาช่วยเพิ่มในส่วนของเงินเก็บนั้น ล้วนมากจากการฝากเงินของเรา ถ้าเราฝากมาก เงินเก็บเราก็จะมาก ถ้าฝากน้อยเงินเก็บของเราก็จะน้อย อย่างไรก็ตามนั้นก็ขึ้นอยู่ที่วินัยการฝากเงินของเราด้วยเช่นกัน ถ้าเรานั้นมีวินัยในการฝากเงินอยู่สม่ำเสมอ เราก็จะมีเงินเก็บในปริมาณมากที่ไม่ยาก แต่ถ้าเรานั้นขาดวินัย เงินเก็บต่างๆตรงนั้นก็จะน้อยเช่นกัน ดังนั้นเราจึงควรรู้ไว้ว่าการมีวินัยการออมคือจุดเริ่มต้นของการออมเงิน
-
ไหลลงสู้ข้างล่าง สร้างประโยชน์แก่คนทั่วไป
เมื่อใดก็ตามที่มีน้ำจากต้นน้ำนั้นไหลลงสู่ข้างล่างแล้วนั้น ผู้คนต่างๆมากมายหรือไม่เว้นแม้แต่สิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ต่างๆที่จะร่วมกันมาใช้ประโยชน์จากสายน้ำที่ไหลลงนั้น เราล้วนรู้ดีว่าผู้คนต่างๆนั้น อาจจะเลือกที่จะทำเขื่อนเก็บกักน้ำนี้ไว้เพื่อที่จะนำไปใช้ประโยชน์ ในการทำไร่ต่างๆเพื่อที่จะทำธุรกิจหรือเลือกที่จะนำใช้น้ำที่ไหลลงจากต้นน้ำนี้ ในการขนส่งหรือใช้เล่นต่างๆ และถ้าเป็นแม่น้ำหรือเป็นสายน้ำตามป่าตามเขานั้นก็อาจจะมีการใช้ประโยชน์ในอีกรูปแบบหนึ่งตามพื้นที่นั้น ส่วนสิ่งมีชีวิตต่างก็อาศัยน้ำจากสายน้ำนี้ในการดำรงชีวิต อย่างไรก็ตามนั้นเมื่อเรานั้นมีเงินเก็บที่มากและเราเลือกที่จะนำเงินต่างๆเหล่านั้นไปใช้ เราอาจจะนำเงินที่มีอยู่ไปชื้อสิ่งต่างๆเพื่อความสุขของเราเอง หรือเรานั้นเลือกที่จะนำเงินต่างๆเหล่านั้น นำไปลงทุนกับธุรกิจต่างๆเพื่อสร้างความมั่นคงต่างๆต่อไปเพื่อที่จะนำเงินที่ได้นั้นไปเก็บไว้ การที่เรานั้นนำเงินที่เราออมไว้มาลงทุนต่อไปเรื่อยๆนั้น ก็คล้ายๆกับการที่สายน้ำของเรานั้นได้ทำการแตกสายออกไปเรื่อยๆ การที่เรานำเงินไปลงทุนต่อจะสร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่องและได้มากมายมหาศาล สร้างประโยชน์ต่างๆได้มากมายให้กับตัวเรา สิ่งหนึ่งที่สำคัญนั้นถ้าเงินออมของเรานั้นมีมากเท่าไหร่ ก็สามารถแยกย่อยออกมาใช้จ่ายสิ่งต่างๆได้มากเท่านั้น สำหรับใครที่เริ่มลงทุนนั้นอาจจะเป็นแม่น้ำสายเล็กๆในช่วงแรกและแน่นอนแม่น้ำสายเล็กๆนั้นจะใหญ่ขึ้นในอนาคต
-
เมื่อน้ำแห้งก็จะขาดความอุดมสมบูรณ์ ยามใดมีน้ำควรเก็บน้ำนั้นไว้ส่วนหนึ่ง
เราทุกคนนั้นล้วนรู้ดีว่า เมื่อใดก็ตามที่แม่น้ำที่เรานั้นใช้ทำมาหากินอยู่ทุกวัน ใช้ในการรดน้ำต้นไม้หรือใช้ในทางเกษตรแห้งลง นั้นหมายถึงผลกระทบจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว การที่แม่น้ำต่างๆที่เรารู้จักนั้นแห้งเหือดนั้นมาจากการที่เขื่อนนั้นไม่ปล่อยน้ำลงมาสู่แม่น้ำ บางครั้งคนจำนวนไม่น้อยก็อาจจะแก้ปัญหาผิดที่โดยการไปประท้วงหรือขอให้ทางเขื่อนนั้นปล่อยน้ำลงและสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือเขื่อนอาจจะไม่มีน้ำให้ปล่อย อย่างไรก็ตามอาจเกิดจากความไม่อุดสมบูรณ์ของต้นน้ำและความแห้งแล้งที่มากกว่าปกติ ทำให้เรารู้ว่าเมื่อใดก็ตามที่เราเลือกที่จะไม่ออมเงินนั้น นั่นหมายถึงความแห้งแล้งของระบบสายน้ำของเรา เหล่าประชาชนหรือเหล่าธุรกิจต่างๆที่เราทำอยู่นั้นอาจจะเดือดร้อนได้ง่ายเพราะไม่มีเงินทุนหมุนเวียน ดังนั้นเราจึงควรที่จะทำแหล่งน้ำสำรองหรือเงินทุกสำรอง การสร้างเขื่อนนั้นคือการเก็บกักน้ำไว้โดยที่ชาวบ้านทั่วไปหวังน้ำจากเขื่อนเพียงอย่างเดียว ถ้ามีชาวบ้านสักคนนั้นทำบ่อน้ำสำรองไว้และนำน้ำจากเขื่อนนั้นไหลลงมาเก็บไว้ บ่อน้ำนั้นก็จะมีน้ำไว้ตลอด เช่นเดียวกันกับธุรกิจ เราควรที่จะสร้างเงินทุนสำรองเอาไว้ในแต่ละที่โดยที่ใช้เงินปันผลของธุรกิจนั้นในการช่วยตัวเอง