เรื่องการเกิดการตายก็เป็นอีกเรื่องที่ใช้เงิน ลองมาคิดดูว่ากว่าจะคลอดเด็กออกมาสักคนต้องใช้เงินเท่าไหร่ หรือ จัดงานศพสักงานก็ต้องใช้เงินเท่าไหร่ เรื่องเกิดเรื่องตายไม่น่าเชื่อว่าปัจจุบันมันกลายเป็นธุรกิจ มันกลายเป็นเรื่องที่ต้องใช้เงินกันให้วุ่นวาย ลองมาดูว่ามีปัจจัยอะไรที่ทำให้เรื่องเกิดเรื่องตายเป็นเรื่องที่ต้องใช้เงินไม่แพ้เรื่องอื่นๆ
การเกิด
แน่นอนว่าจะพร้อมหรือไม่พร้อมแต่หากท้องหรือตั้งครรภ์ขึ้นมาก็ต้องรับผิดชอบชีวิตนั้นๆ จะอยู่ครบทั้งพ่อแม่ หรือ จะเลี้ยงเดี่ยวก็ตาม ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์งานเสียเงินก็เริ่มมา อันดับแรกคือการฝากครรภ์ การไปตรวจแต่ละครั้งก็ต้องใช้เงิน จะฝากครรภ์ที่ไหนก็ตามแต่ฐานะแต่ทุกที่ต้องใช้เงินเหมือนกันหมด แม้จะใช้สิทธิ 30บาทก็ยังต้องเสียค่าเดินทางเลยจริงไหม ต่อมาก็ต้องบำรุงแม่และลูกการกินอาหารแน่นอนว่าก็ต้องเลือกและพิถีพิถันกันหน่อยมีเงินก็กินแต่ของดีๆแพงๆ เงินน้อยก็เลือกที่มันบำรุงได้และประหยัด
เห็นไหมว่าต้องใช้เงินซื้อ การเตรียมของต่างๆของลูกก็ต้องเสียเงินกันอีกและของใช้เด็กอ่อนปัจจุบันราคาสูง และต้องเลือกคุณภาพดีๆ เพื่อไม่ให้ลูกน้อยเป็นอันตรายไม่ว่าจนหรือรวยต่างยอมจ่ายในจุดนี้กันทั้งนั้นอันไหนต้องแพงก็แพง อันไหนประหยัดได้ก็ประหยัดเรื่องนี้เป็นกันทุกคน พอมาถึงตอนคลอดก็ต้องใช้เงินอีกไม่ว่าจะจ่ายเอง หรือ ใช้สิทธิต่างๆก็ต้องจ่ายเงินไปก่อนทั้งนั้นจะมากจะน้อยก็แล้วแต่โรงพยาบาลที่เลือก และ สถานการณ์ตอนคลอด บางคนมีออปชั่นเสริมหาฤกษ์คลอด หาชื่อจากเกจิ หรือ โหรดังๆ หมอดูดังๆ จ่ายกันอีกหลาย คลอดแล้วก็ต้องมีภาระเลี้ยงดู เห็นไหมว่าเรื่องเกิดไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆ ทุกอย่างต้องใช้เงินทั้งนั้น
การตาย
เป็นสิ่งที่หลีกหนีไม่พ้น ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องตายอยู่ที่จะตายตอนไหน เมื่อไหร่ และ ตายแบบไหน แต่ที่แน่ๆคนที่อยู่ข้างหลังต้องจ่ายเงินจัดการงานศพให้ต้องควักเงินกันไปก่อนแล้วค่อยไปดูว่ามีอะไรทิ้งไว้ให้บ้างเช่นเงินประกันสังคม เงินฌาปนกิจต่างๆ จัดงานศพเดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่ถูกๆ ค่าโลงศพแบบธรรมดาๆบ้านๆ ก็ร่วมๆสองพันบาทแล้ว ไหนจะต้องเช่าโลงเย็นค่าเช่าต่อคืนอย่างถูกๆก็เกือบพัน ค่าดอกไม้หน้างานแบบบ้านๆธรรมดาๆ ก็ชุดละสามพันบาทขึ้นไป ค่าทำรูปค่ากรอบรูปค่าพวงมาลัยแขวนรูปรวมๆแล้วก็ไม่หนีหนึ่งพันบาท ค่าเช่าศาลวัดจัดงาน หากเป็นวัดบ้านๆธรรมดาๆ ตามชานเมืองส่วนใหญ่ไม่เสียเงินเสียแต่ค่าน้ำค่าไฟให้วัดคืนละไม่กี่ร้อยบาท แต่หากเป็นวัดดัง หรือ เลือกศาลาติดแอร์ ก็คืนละสองพันบาทอย่างต่ำ ค่าดอกไม้ถวายพระ ค่าสังฆทาน ค่าของเลี้ยงแขกส่วนนี้รวมๆแล้วก็ไม่หนีสองพันบาทนี่แบบธรรมดาๆถูกๆเลยนะ นอกจากนี้วันเผาก็จะมีเลี้ยงเพลเสียค่าอาหาร ค่าเตาเผา ค่าปัจจัยต่างๆที่ต้องมีในพิธี ค่าของขำร่วย
แน่นอนว่าสรุปรวมแล้วจัดงานแบบบ้านๆ แขกน้อยๆ ต้องมีอย่างต่ำ หนึ่งหมื่นบาทสำรองไว้ นี่แบบบ้านๆเลยนะ แล้วลองคิดดูหากเป็นงานที่ใหญ่กว่านี้ล่ะจะโดนกันเท่าไหร่ เพราะปัจจุบันแต่ละวัดก็เก็บกันเป็นธุรกิจเรียกว่ามีครบวงจร วัดดังก็แพงหน่อย วัดธรรมดาก็ถูกหน่อย บางวัดไม่คิดอะไรมากแต่เราก็ต้องเหนื่อยในการจัดหามาเอง ซึ่งส่วนใหญ่หากเป็นชาวบ้านธรรมดาๆเขาก็จัดตามวัดเล็กๆ ค่าใช้จ่ายน้อยๆ หากมีเงินก็เลือกจัดแบบสมฐานะเลือกวัดดังๆค่าใช้จ่ายก็สูงขึ้น แต่ไม่ว่างานจะเล็กจะใหญ่ คนที่อยู่ข้างหลังมักจะบ่นว่าเหนื่อย ว่าเปลืองกันทั้งนั้นทั้งๆที่คนตายบางทีเป็นพ่อหรือแม่ตัวเองแท้ๆ
เห็นไหมว่าทุกวันนี้เรื่องเกิดเรื่องตายกลายเป็นเรื่อง การเงิน ที่ต้องใช้เงินและใช้มากขึ้นทุกวันตามสภาพเศรษฐกิจ เพระอะไรๆก็แพงแม้แต่ค่าศาลาสวดศพยังแพงเลย ลองคิดดูกันว่า การเงิน มันทำให้เราอยู่ยากมากขึ้นขนาดไหน