ในยุคดิจิตอล อะไรๆก็แพง และมักมีสินค้าใหม่ๆมาล่อตาล่อใจให้เราควักเงินกันอยู่เสมอๆ ซึ่งหลายๆอย่างนั้นบอกได้เลยว่าราคามันสูงเกินคุณภาพ ซึ่งด้วยค่านิยมของคนยุคปัจจุบันมักจะคิดว่า ของแพงคือของดี ของแบรนด์เนมนำเข้าคือของดี ซึ่งบางอย่างนั้นบอกเลยว่าใช่ ต้องแพงต้องมีแบรนด์ เพราะมันการันตีคุณภาพของสินค้าได้ แต่บางอย่างบอกเลยว่าไม่ใช่ ไม่จำเป็นต้องแพงและแบรนด์เนม เพราะมีสินค้าแบบเดียวกัน ในราคาที่ถูกกว่าใช้งานได้เหมือนกัน คุณภาพไม่ต่างกัน เพียงแค่ไม่ใช่แบรนด์เนมเท่านั้นเอง
เราจะเลือกซื้อของอย่างไรถึงเรียกว่า ซื้อของอย่างฉลาดกับ ยุคข้าวยากหมากแพง
ข้อนี้เราคงบอกไม่ได้เพราะความต้องการแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่ซื้อของอย่างฉลาดนั้น เราสามารถบอกคุณได้ว่าจะเลือกอย่างไร เพราะการซื้อของอย่างฉลาดในความจริงนั้นคือ การซื้อเพื่อนำมาใช้งานจริง และได้ประโยชน์จากสิ่งที่ซื้อมา นี่คือความฉลาดในการซื้อของ เพราะบางคนนั้นมีเงิน อยากได้อะไรก็ซื้อ ซื้อแล้วซื้ออีก แต่ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้งาน ซื้อมาวางไว้เฉยๆ แบบนี้เขาเรียกว่ามีเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้ต้องโง่ด้วย ซึ่งการซื้อของอย่างฉลาดนั้น
ก่อนอื่นเราต้องคำนึงถึงประโยชน์ของการใช้งานเป็นหลัก เราต้องนึกก่อนว่าเราซื้อมาแล้วจะได้ใช้ไหม ราคาคุ้มกับคุณภาพหรือไม่ และมีแบรนด์อื่นๆที่คุณภาพเหมือนกัน ใช้งานเหมือนกันแต่ราคาถูกกว่าราคาอันไหนถูกกว่ากัน ว่าง่ายๆให้เปรียบเทียบก่อนที่จะตัดสินใจซื้อนั่นเองไม่ว่าจะเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือ สินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ
ซึ่งหากเรารู้วิธีการเลือกเราจะได้ของที่ราคาไม่แพงแถม อาทิเช่น
การซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคหรือของใช้ต่างๆ ของบางอย่างหากเราซื้อในขนาดบรรจุที่ใหญ่กว่าจะคุ้มค่ากว่า อย่างเช่น น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม ยาสีฟัน ยาสระผม ของเหล่านี้จะมีหลายๆขนาด หากแบรนด์ที่เราใช้ประจำนั้นมีขนาดใหญ่สุด ให้เราคำนวณจากปริมาณว่าเท่าไหร่ราคาเท่าไหร่ เทียบกับขนาดปรกติที่เราซื้อประจำว่าราคาเท่าไหร่ยกตัวอย่างเช่น เราซื้อผงซักฟอกถุงละ 1 กิโลในราคา 120 บาท แต่หากมีขนาดใหญ่ 3 กิโลในราคา 300 บาท เท่ากับจะประหยัดไป 60 บาทและสามารถใช้ได้นานกว่าขนาดเดิมที่เราซื้อ หรือการซื้อข้าวสารที่เป็นของบริโภคหลักของถึงบ้านควรซื้อในปริมาณทีเพียงพอตลอดทั้งเดือนและการซื้อครั้งละมากๆ อย่างเป็นถัง (15 กิโล) จะประหยัดกว่าการซื้อจำนวนย่อยๆ
และอีกเคล็ดลับคือ การซื้อสินค้าลดราคา ซึ่งโปรโมชั่นตามห้างสรรพสินค้าต่างๆมักจัดกันเป็นประจำ ให้เราดูว่าของใช้ที่เราต้องการใช้นั้นมีอะไรลดราคาบ้างแม้ว่าอาจจะไม่มีแบรนด์ที่เราใช้ประจำก็ตาม หากมีชิ้นไหนแบรนด์ไหนที่เราสามารถใช้แทนกันได้เราก็เลือกที่ลดราคาเพื่อความประหยัด ต้องบอกเลยว่าสินค้าบางอย่างนั้นไม่ว่ายี่ห้อไหนๆแบรนด์ไหนๆ ก็คล้ายกันเพียงแต่ความนิยมต่างๆกันอะไรที่นิยมมากๆ มักจะมีราคาแพงเพราะแบรนด์ติดตลาดเป็นที่รู้จักอีกทั้งมีค่าการตลาดที่สูงทำให้สินค้าแพงกว่าแบรนด์อื่นๆ ทั้งที่คุณภาพพอๆกันโดยเฉพาะพวกของที่ใช้แล้วหมดไป
อ่านเพิ่มเติม >> ของถูก ของแพง แบบไหนดีกว่ากัน ? <<
นอกจากนี้การจัดระเบียบในการซื้อของก็จะเป็นส่วนช่วยให้เราประหยัดได้ด้วย อย่างเช่นการวางแผนซื้อของแต่ละครั้งว่าจะซื้ออะไรบ้าง อะไรที่จำเป็นต้องซื้ออย่างพวกของอุปโภคบริโภคต่างๆ บางคนกำหนดการซื้อเดือนละ 1 ครั้งก็จะซื้อให้เพียงพอกับการใช้ตลอดทั้งเดือน จะทำให้เรากำหนดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้ ส่วนพวกของใช้ส่วนตัวอย่างเสื้อผ้า หรือ แฟชั่นอื่นๆเช่น กระเป๋า รองเท้า การเลือกซื้อแบรนด์ที่มีระดับราคากลางๆ จะคุ้มกว่าการซื้อราคาถูกๆ เพราะของพวกนี้เราต้องเน้นคุณภาพและระยะเวลาการใช้งานที่ต้องซื้อมาแล้วใช้ได้นานคุ้มค่าคุ้มราคา อาทิเช่น เสื้อชั้นในอันนี้จะเห็นได้ชัดว่าหากซื้อของแบรนด์จะทนและมีระยะการใช้งานมากกว่าซื้อตามตลาดหรือราคาถูกๆ รวมถึงเสื้อผ้าอื่นๆด้วยไม่จำเป็นต้องตามแฟชั่น แต่เลือกที่ใส่แล้วดูดีเหมาะกับบุคลิกราคาไม่แพงเกินกว่าจะจ่ายไหว
หากคุณมีสติคิดให้รอบคอบและรู้จักเปรียบเทียบก่อนการซื้อของต่างๆรับรองว่าคุณจะใช้เงินในการซื้อของได้อย่างฉลาดและเหมาะกับยุคปัจจุบันที่อะไรๆก็แพง