ปัจจุบันการ ขายของออนไลน์ เป็นที่นิยม เพราะสะดวก ต้นทุนการโฆษณาต่ำและเข้าถึงผู้คนได้เป็นจำนวนมาก เราจึงเห็นได้ว่า ในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมาการ ขายของออนไลน์ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
ร้าน ขายของออนไลน์ ต่างๆนั้นจะมีทั้งที่จดทะเบียนการค้า และ บุคคลทั่วไป ซึ่งหากเป็นร้านค้า หรือ ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนถูกต้อง และ ใช้ช่องทางออนไลน์ทำการค้าขาย ร้านค้ากลุ่มนี้แน่นอนว่าต้องมีการเสียภาษีอย่างถูกต้อง ซึ่งหากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์นั้นก็อยู่ประมาณ 20%-30% เท่านั้น อีกประมาณ 70% เป็นบุคคลทั่วไป หรือ ร้านค้าเล็กๆ ที่ใช้ช่องทางออนไลน์ส่งเสริมการขายและเพิ่มลูกค้า แน่นอนว่าในกลุ่มนี้จะไม่มีการเสียภาษี
จากช่องว่างตรงนี้ ทำให้กระทรวงการคลังเห็นว่าทำให้รัฐขาดรายได้ในการเก็บภาษี และมองว่าการ ขายของออนไลน์ ปัจจุบันนั้นมีผู้ประกอบการบางรายขายสินค้าที่มีราคาสูงเกินจริง จึงมีแนวคิดที่จะเก็บภาษีจากการค้าขายออนไลน์ โดยเฉพาะการสั่งสินค้าจากต่างประเทศ
โดยในเบื้องต้นนั้นจะมีการจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจ โดยให้ทาง กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร มาร่วมกันหารือและหาแนวทางในการจัดเก็บภาษี ซึ่งทางกรรมสรรพากรนั้นมีการหาข้อมูลในเรื่องนี้อยู่แล้วเพื่อจัดเก็บภาษีเข้ารายได้แผ่นดิน ก่อนหน้านี้ได้มีการตรวจสอบร้านค้าออนไลน์และพูดคุยกับเจ้าของร้านค้าบางส่วนเพื่อให้เข้าสู่ระบบภาษีที่ถูกต้อง
แต่เป็นเพียงการพูดคุยเท่านั้นยังไม่ได้มีการจัดการอย่างเป็นรูปธรรม เพราะต้องตรวจสอบการทำธุรกรรมต่างๆเช่น รายรับ รายจ่าย ของร้านค้าเหล่านั้น อีกทั้งในเรี่องของการจัดเก็บภาษีนั้นต้องดูจากรายรับรายจ่ายของร้านค้าเป็นหลัก แต่จากการประเมินคร่าวๆ ร้านค้าออนไลน์นั้นจะมีต้นทุนต่ำกว่าร้านค้าทั่วไป การเกิดกำไรจากการค้าขายก็สูงกว่าด้วย
ร้านค้าออนไลน์นั้นโดยทั่วไปจะมีช่องทางการจำหน่ายทั้งใน Facebook, Line, Instagram ซึ่งทั้งสามช่องทางนั้น ได้รับความนิยมมากและการเปิดร้านค้าในโซเชียลเหล่านี้ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น โดยตอนนี้ทาง กรรมศุลกากร มีแนวทางในการตรวจสอบ ไปบ้างแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มร้านค้าที่นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ หรือที่เรียกว่า พรีออเดอร์ ซึ่งมีค่อนข้างเยอะ และ เป็นการสั่งสินค้าเข้าประเทศโดยไม่มีการตรวจสอบหรือเสียภาษี บางร้านมีการหิ้วเข้ามาจากต่างประเทศโดยผ่านการตรวจสอบจาก ศุลกากรที่สนามบิน และ ระบุว่าเป็นการซื้อมาใช้เอง ซึ่งพบว่ามีจำนวนมาก คาดว่าบางรายไม่มีการสำแดงเอกสารต่างๆอย่างชัดเจนด้วย ซึ่งหากมีความคืบหน้าอย่างไร ทางหน่วยงานจะประกาศให้ทราบอีกครั้ง
เรื่องของการเก็บภาษี ขายของออนไลน์นั้น ดูจะเป็นเรื่องที่ไกลตัวอยู่พอสมควร สำหรับคนที่ไม่ได้เปิดร้านค้า สำหรับคนที่นิยมซื้อของออนไลน์ อาจจะคิดว่าหากมีการจัดเก็บภาษี ขายของออนไลน์ นั้น อาจทำให้ต้องซื้อสินค้าที่แพงขึ้น แต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง การจัดเก็บภาษีจะทำให้ร้านค้าออนไลน์ที่ไม่ได้จดทะเบียนการค้านั้นเข้าสู่ระบบอย่างถูกต้อง
ลูกค้าที่ต้องการซื้อของออนไลน์สามารถวางใจได้ว่าจะไม่โดนหลอกหากโอนเงินไปก่อน หรือ ชำระด้วยบัตรเครดิต จ่ายเงินไปได้ของแน่นอน หากมีปัญหาก็สามารถตรวจสอบ และ เรียกร้องค่าเสียหายได้ เราคงไม่ปฎิเสธกันว่าปัจจุบันมิจฉาชีพแฝงมากับร้านค้าออนไลน์เยอะมาก เนื่องจากร้าน ขายของออนไลน์ มีความเสรี และ สะดวก ทำให้ผู้บริโภคโดนหลอกลวงได้ง่าย หากมีการจัดระเบียบและเก็บภาษีขึ้นมาจริงๆ ผู้บริโภคน่าจะได้ประโยชน์
แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นแค่การวางแผน แต่ผู้ค้าออนไลน์ก็ไม่ต้องกังวล เพราะหากค้าขายอย่างถูกต้อง มีการเก็บหลักฐานการซื้อสินค้ามาจำหน่าย มีการเก็บหลักฐานการจ่ายเงินของลูกค้า และ การส่งสินค้าอย่างครบถ้วน ในการเข้าสู่ระบบภาษีก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวแม้แต่น้อย เพราะจะมีการคำนวณฐานภาษีตามหลักเกณฑ์ มีการหักค่าใช้จ่าย ต้นทุน กำไร เหมือนกับร้านค้าปรกติทั่วไป และ การเข้าระบบภาษีนั้นยังเป็นการยืนยันตัวตนของผู้ค้า ร้านค้า ที่สามารถการันตีให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าโอนเงินแล้วได้สินค้าแน่นอน จะเป็นการเพิ่มลูกค้าได้มากขึ้นด้วย
ที่มาของข่าว : http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000088535