ดอกเบี้ยเงินกู้ คือ ค่าตอบแทน หรือผลตอบแทนที่ผู้ให้กู้ เรียกเก็บจากผู้กู้ ตามอัตราที่ตกลงกัน
อัตราการคิดดอกเบี้ยเงินกู้
ดอกเบี้ยเงินกู้ มีอัตราการคิดอยู่ที่ร้อยละ ต่อปี ต่อเดือน หรือต่อวัน ขึ้นอยู่กับข้อตกลงร่วมในครั้งแรกระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ ซึ่งส่วนใหญ่การเก็บดอกเบี้ยเงินกู้เป็นจำนวนร้อยละต่อปีนั้น เป็นหลักการคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของทางธนาคาร ที่เก็บเพื่อเป็นผลตอบแทนจากการอนุมัติให้กู้ยืม
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ มีหลายรูปแบบ หลายอัตรา โดยขึ้นอยู่กับประเภทของสินเชื่อนั้นๆ เกณฑ์การคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ก็แตกต่างกันไปตามกฏเกณฑ์ของสถาบันการเงินนั้นๆ
ประเภทของดอกเบี้ยเงินกู้ที่พบบ่อย
1. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ หรือ Fixed Rate
หมายถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่กำหนดไว้ตายตัว ไม่มีการปรับอัตราขึ้นลงตามต้นทุนของทางธนาคาร มีความคงที่ตลอดอายุการทำสัญญา หรือตามช่วงเวลาที่ตกลงกัน เช่น ทางธนาคารกำหนดดอกเบี้ยไว้ที่ ร้อยละ 7 ต่อปี โดยมีกำหนดระยะเวลาในการผ่อนชำระคืน 10 ปี เป็นต้น
2. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัว หรือ Floating Rate
หมายถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่มีความผันผวน ปรับเปลี่ยนขึ้นลงไปตามต้นทุนและผลกำไรของทางธนาคาร ซึ่งทางธนาคารจะออกมาประกาศให้ทราบเป็นระยะๆ เช่นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อ้างอิงของธนาคารทั่วไป โดยใช้ตัวย่อภาษาอังกฤษเป็นสัญลักษณ์สากล เช่น MLR, MOR, MRR เป็นต้น
ตัวย่อ MLR, MOR, MRR คืออะไร
หมายถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ทางธนาคารใช้เป็นเกณฑ์ในการเรียกเบดอกเบี้ยเงินกู้จากลูกค้า โดยมีลักษณะเป็นดอกเบี้ยลอยตัว เช่น
1. MLR หรือ Minimum Loan Rate
หมายถึง อัตราดอกเบี้ยที่ทางธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ ที่ถูกจัดไว้ในเกรดดี เช่น มีประวัติทางการเงินที่ดี ไม่เสี่ยงต่อการล้มละลาย มีหลักทรัพย์เพียงพอในการค้ำประกัน และมีความมั่นคงในอาชีพหรือธุรกิจที่ประกอบการอยู่ เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่มักใช้กับ สินเชื่อระยะยาวที่มีระยะเวลาในการผ่อนชำระแน่นอน ตายตัว เช่น สินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจ และสินเชื่ออื่นๆในทำนองเดียวกัน
2. MOR หรือ Minimum Overdraft Rate
หมายถึง อัตราดอกเบี้ยที่ทางธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี แต่ขอกู้วงเงินเกินบัญชี ดอกเบี้ยประเภทนี้จะคิดให้ก็ต่อเมื่อ ลูกค้าท่านนั้นมีประวัติการชำระเงินในรอบก่อนๆอย่างสม่ำเสมอ และมีความมั่นคงพอสมควร ธนาคารจะต้องพิจารณาในเรื่องความเสี่ยงในอนาคตเสมอ แม้ว่าจะเป็นลูกค้าชั้นดีก็ตาม
3. MRR หรือ Minimum Retial Rate
หมายถึง อัตราดอกเบี้ยที่ทางธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี เช่นสินเชื่อบ้านและที่อยู่อาศัย สินเชื่อเงินกู้ส่วนบุคคล เป็นต้น ซึ่งในกรณีนี้ทางธนาคารมักจะใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบลูกค้านานพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นประวัติในการชำระหนี้ หรือการใช้เครดิตต่างๆ ความมั่นคงทางอาชีพ หรือความมั่นคงทางการเงิน เป็นต้น เพื่อคาดเดาถึงศักยภาพของลูกค้าในการผ่อนชำระคืนในอนาคต
ซึ่งคุณสามารถตรวจสอบอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่างๆของแต่ละธนาคารผ่านเว็ปไซต์ของธนาคารหรือสถาบันการเงินนั้นๆ หรือถ้าต้องการดูข้อมูลโดยรวมก็สามารถเข้าไปดูที่เว็ปไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทยได้ โดยเกณฑ์เปรียบเทียบที่ควรศึกษามีดังนี้
- ค่าธรรมเนียมเปรียบเทียบระหว่างสถาบันการเงินแต่ละสถาบัน
- อัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บย้อนหลัง
ซึ่งทางสถาบันการเงินอาจกำหนดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อชนิดต่างๆเพื่อเรียกเก็บ โดยบวกอัตราเพิ่มหรือลดเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ตามประเภทต่างๆ ดังนี้
1. ดอกเบี้ยเงินกู้แบบเงินต้นคงที่
หรือ ดอกเบี้ยเงินกู้ ที่ไม่มีการเพิ่มอัตราเงินต้น แต่ได้ทำการบวกดอกเบี้ยไปในยอดชำระเงินรายเดือนของลูกค้า ซึ่งดอกเบี้ยประเภทนี้ ไม่สามารถลดได้ด้วยการเอาเงินก้อนมาปิดยอดชำระก่อนเวลา เพราะมีอัตราการคิด ดอกเบี้ยเงินกู้ ที่ตายตัวไว้อยู่แล้ว
2. ดอกเบี้ยเงินกู้แบบลดต้นลดดอก
ถือเป็นอัตราการคิด ดอกเบี้ยเงินกู้ ที่น่าสนใจ และมีความคุ้มค่ากับตัวผู้กู้เอง เพราะหากในอนาคต คุณมีเงินก้อนหนึ่งมาปิดยอดชำระหนี้ได้ ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่างๆจะลดลงตามระยะเวลาที่คุณปิดยอดในช่วงนั้นๆ ซึ่งถือว่ามีความคุ้มค่าเป็นอย่างมาก
3. ดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าธรรมเนียมและค่าบริการอื่นๆของบัตรเครดิต
หมายถึง ค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เรียกเก็บเป็นค่าตอบแทนจากการให้บริการของทางธนาคาร ไม่ว่าจะเป็น ค่าบริการตู้ ATMสำหรับกดเงินสด ค่าบริการรายปี ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตรายปี เป็นต้น ซึ่งค่าธรรมเนียมเหล่านี้ค่อนข้างมีอัตราการเรียกเก็บที่บ่อยครั้ง รวมๆเข้าก็มีอัตราสูงจนเพิ่มยอดชำระคืนได้อย่างน่าตกใจ
ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เหล่านี้จะไม่ถูกเรียกเก็บก็ต่อเมื่อคุณชำระเงินคืนตรงตามกำหนดเวลา และคงสภาพการเป็นลูกหนี้ที่ดีกับทางธนาคารหรือสถาบันการเงินนั้นๆ
4. ดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมของสินเชื่อบุคคล ภายใต้การกำกับ
หรือที่เรียกกันว่า ค่าติดตามทวงถามเวลาที่เราผิดนัดรับชำระ ซึ่งค่าใช้จ่ายประเภทนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคุณผิดนัดชำระเงินตามงวดที่กำหนดกับทางธนาคาร ซึ่งทันทีที่ผิดนัดชำระดังกล่าว อัตราดอกเบี้ยจะพุ่งขึ้นสูงกวาเดิมตามที่คุณได้ทำข้อตกลงไว้ และทางธนาคารมีสิทธิ์ที่จะเรียกเก็บค่าปรับ ค่าติดตามทวงถาม และยึดทรัพย์คุณได้ทุกกรณี
ซึ่งเรื่องของ ดอกเบี้ยเงินกู้ นั้น ถือเป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างมีความละเอียดอ่อนอยู่ในตัว และมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายให้คุณได้เรียนรู้ เพราะถือเป็นเรื่องของการได้เปรียบ-เสียเปรียบ ทั้งฝ่ายธนาคารผู้ให้กู้เอง รวมไปถึงผู้กูหรือลูกหนี้ ดังนั้นคุณต้องศึกษาข้อมูลก่อนการขอกู้เงินหรือสินเชื่อต่างๆโดยละเอียด เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง และประโยชน์สูงสุดที่คุณควรได้รับ