เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็จะถูกขายประกันชีวิต ทั้งเวลาไปเคาน์เตอร์ธนาคาร เพื่อน พี่น้องของเราก็เป็นตัวแทนประกันชีวิต หรือแม้แต่การขายประกันชีวิตผ่านทางโทรศัพท์ … ไม่ว่าเราหรือใครก็ต้องสยองกันบ้างล่ะกับลูกตื้อขายประกันชีวิตของแต่คน ทีนี้เรามาลองดูกันดีกว่าว่า หากมีใครมาขายประกันชีวิต ก่อน ซื้อประกันชีวิต เราจะต้องระวังอะไรบ้าง และคนขายแต่ละช่องทางนั้นมีวิธีการขายและจะต้องบอกข้อมูลอะไรกับเราบ้าง
การซื้อผ่านตัวแทนหรือนายหน้าประกันชีวิต
เราในฐานะผู้ซื้อประกันชีวิต จะต้องบอกความต้องการหรือวัตถุประสงค์ในการทำประกันชีวิต ความคุ้มครองที่ต้องการ และเบี้ยประกันที่สามารถจ่ายได้ ต่อจากนั้นตัวแทนหรือนายหน้าประกันชีวิตจะเป็นผู้คัดเลือกกรมธรรม์และเบี้ยประกันที่สอดคล้องกับความต้องการ
การซื้อประกันผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร
อันนี้ที่หลายคนน่าเจอมาบ้างเวลาไปธนาคาร จนรู้สึกหวาดกลัวมากเวลาต้องเดินเข้าธนาคาร แต่เดี๋ยวนี้น่าจะปรับปรุงแล้วล่ะ เพราะน่าจะโดนร้องเรียนมาเยอะ แต่ถ้าเราสนใจล่ะก็จะดีมากสำหรับเจ้าหน้าที่ธนาคาร เพราะคนที่จะมาอธิบายเรื่องประกันกับเราได้จะต้องเป็นพนักงานธนาคารที่มีใบอนุญาตในการขายประกัน และที่สำคัญที่สุดจะต้องอธิบายให้ชัดเจนเกี่ยวกับความแตกต่างของการประกันชีวิตกับการฝากเงินกับธนาคาร เพื่อให้เรามีข้อมูลที่เพียงพอต่อการเลือกทำประกันชีวิต และสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ห้ามใช้การประกันชีวิตมาเป็นเครื่องต่อรองการให้สินเชื่อของธนาคาร หรือการทำธุรกรรมใดๆ ของธนาคารโดยเด็ดขาด เพราะการทำประกันต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจของเราเท่านั้น
ซึ่งการ ซื้อประกันชีวิต ผ่านตัวแทน นายหน้า หรือผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารนั้น เราสามารถยกเลิกกรมธรรม์ได้ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่เราได้รับกรมธรรม์ แต่มีเงื่อนไขว่าเราจะต้องถูกหักค่าใช้จ่ายกรมธรรม์ละ 500 บาท และอาจจะต้องจ่ายคืนค่าตรวจสุขภาพด้วย หากตอนทำประกันเรามีการตรวจสุขภาพแล้วตัวแทน นายหน้า หรือธนาคารเป็นผู้ออกค่าตรวจสุขภาพนั้นไป อันนี้เดาได้ว่าการซื้อผ่านตัวแทน นายหน้า หรือเคาน์เตอร์ธนาคารนั้นเราได้เจอหน้ากัน มีอะไรก็สามารถสอบถามกันได้อย่างเต็มที่ ก็เลยทำให้อาจจะมีค่าใช้จ่ายเวลาเรายกเลิกกรมธรรม์ภายใน 15 วัน ก็เป็นได้
การซื้อประกันผ่านทางโทรศัพท์ (Telemarketing)
อันนี้เราก็น่าจะเจอกันมาบ่อยเหมือนกัน ที่แต่ก่อนมักจะมาแนวเดียวกัน คือ ให้เรานั่งฟังเงื่อนไขไปเรื่อยๆ แอบถามข้อมูลเราไปเรื่อยๆ สุดท้ายจะจบเหมือนกัน คือ การส่งเอกสารให้กับเราตามที่อยู่ที่มีในมือ …. ซึ่งเดาได้ว่าทุกคนจะต้องงงว่าเราซื้อประกันแล้วเหรอ… แต่ตอนนี้ก็ไม่น่าจะเจอแล้วล่ะ เพราะคิดว่าคงถูกร้องเรียนไปเยอะเหมือนกัน… แต่มาดูวิธีการขายประกันทางโทรศัพท์กันดีกว่าว่า เราจะต้องเจออะไรบ้าง อันดับแรกเลยคนขายทางโทรศัพท์จะต้องแจ้งชื่อนามสกุล เลขที่ใบอนุญาตของตนเอง บริษัทประกันชีวิตที่ตัวเองทำงานให้ และสุดท้ายจะต้องบอกเลยว่าเป็นการขายประกันชีวิต และถ้าหากเราไม่สนใจคนขายประกันชีวิตทางโทรศัพท์นั้นจะต้องหยุดขายทันที ห้ามยืดเยื้อ และถ้าเราต้องทราบว่าได้เบอร์โทรศัพท์เราจากที่ไหนก็จะต้องบอกเราให้ทราบด้วย
แล้วถ้าเราสนใจจะซื้อประกันภัยจากพวก Telemarketing ล่ะ เราจะต้องได้ข้อมูลอะไรบ้าง แรกสุดเลยคนขายทางโทรศัพท์จะต้องขออนุญาตบันทึกเสียงทางโทรศัพท์เพื่อเป็นหลักฐานการซื้อประกันและจะต้องเก็บรักษาเท่ากับระยะเวลาการทำประกันของเรา และเมื่อเราอนุญาตให้บันทึกเสียงเรียบร้อยคนขายจะต้องแจ้งผลประโยชน์ที่จะได้รับ ระยะเวลาทำประกัน ค่าเบี้ยประกัน ระยะเวลาและวิธีการชำระค่าเบี้ยประกัน ที่สำคัญคนขายห้ามใช้คำว่าฝากหรือฝากเงินแทนการชำระค่าเบี้ยประกันภัยเด็ดขาด จะบอกให้ทราบว่ากรมธรรม์ประกันชีวิตจะเริ่มคุ้มครองทันทีที่เราตอบตกลง หรือวันอื่นตามที่เราจะแจ้ง สุดท้ายจะต้องแจ้งให้เรารู้ด้วยว่าเราสามารถยกเลิกกรมธรรม์ได้ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่เราได้รับกรมธรรม์และจะได้รับเงินค่าเบี้ยประกันภัยคืนทั้งจำนวน
และเมื่อตกลงใจทำประกันชีวิตผ่าน Telemarketing เรียบร้อยแล้ว เราจะต้องได้รับโทรศัพท์อีกครั้งภายใน 7 วัน นับจากวันที่บริษัทประกันส่งกรมธรรม์ให้เราแล้ว เพื่อให้คนขายแน่ใจว่ากรมธรรม์ถึงมือเราเรียบร้อย และเน้นให้เราอ่านกรมธรรม์ให้ดีๆ รวมทั้งจะบอกให้เรารู้อีกทีว่า สามารถยกเลิกกรมธรรม์ได้ภายใน 30 วันและจะได้รับเงินค่าเบี้ยประกันคืนทั้งหมด เพราะฉะนั้นถ้าตกลงทำประกันแล้ว ก็อย่าเพิ่งบล็อกเบอร์โทรศัพท์ไปนะ เดี๋ยวจะเสียสิทธิของเราได้
แต่เราต้องระวังเรื่องเทเลเซลล์ด้วยนะ ! อ่านดูสิ > ระวังเสียรู้ ! ภัยจาก TeleSale <
สิ่งสำคัญสุดท้ายก่อนจบ…. เราจะต้องไม่ ซื้อประกันชีวิต ผ่านตัวแทนหรือนายหน้าที่มีการพูดจาหว่านล้อมเราในแบบที่ บอกให้เรายกเลิกกรมธรรม์ของเก่าที่มีอยู่แล้วให้มาทำกรมธรรม์ใหม่แทน มาบอกเราว่าการทำประกันชีวิตก็เหมือนการฝากเงิน ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่ มาบอกเราอีกว่าการทำประกันชีวิตเป็นการซื้อความเสี่ยงในอนาคต แต่ไม่ช่วยเราดูเลยว่าความสามารถในการจ่ายเบี้ยประกันระยะยาวสำหรับเรานั้นมันไหวหรือเปล่า
เพราะฉะนั้นจะเลือกทำประกันชีวิตสักกรมธรรม์ก็อย่าลืมสิ่งที่ว่าข้างต้นและกันนะ จะได้ไม่เสียดายกับเงินที่เอาไปจ่ายค่าเบี้ยประกัน กัน