หลายๆคนที่ยังคงมีรายจ่ายมากมายมหาศาลคงเคยเกิดคำถามนี้ในใจแน่ๆว่า ทำไมนะ ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ใช้เงินทองอะไรมากมาย แต่ทำไมเรายังถึงจน ถึงยังเป็นหนี้อยู่ได้ ซึ่งถ้ามองคำถามนี้ดีๆก็คงจะเห็นว่าคำถามนั้นมันมีอยู่ 2 ส่วน คือ ทำไมถึงจน และทำไมถึงเป็นหนี้นั่นเอง ซึ่งในความเป็นจริงๆนั้น 2 คำถามนี้ไม่ได้มีความหมายเหมือนกันซะทีเดียวเลย นั่นเป็นเพราะว่าคนที่จนนั้นอาจจะไม่มีหนี้สิน และคนที่มีหนี้สินนั้นก็ไม่ได้แปลว่าคนนั้นจะเป็นคนจนเช่นกัน
แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีการสับสนในคำถามเป็นประเภทนี้อยู่อีก อย่างเช่น ประโยคที่ว่า จนเพราะเป็น หนี้ และประโยคที่ว่า เป็น หนี้ เพราะจน ซึ่งทั้งสองคำนี้บ่งบอกได้ว่าคนใน 2 กลุ่มนี้มีทั้งหนี้สินและความจนเช่นเดียวกัน แต่ว่าทั้ง 2 ประโยคยังคงมีจุดเล็กๆที่ไม่เหมือนกันอยู่ นั่นคือ ต้นเหตุของปัญหานั่นเอง โดยประโยคที่ว่า จนเพราะเป็นหนี้ นั้นจะเริ่มต้นจากการเป็นหนี้มาก่อน การที่เรามีหรือไม่มีเงินที่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายของเราเอง และเรายังคงมีการสร้างรายจ่ายมากขึ้นเรื่อย ซึ่งจะถือว่ารายจ่ายเหล่านี้คือหนี้สินของเรา เมื่อรายได้หรือเงินเราไม่พอ เราก็เข้าสู่ภาวะที่เราเรียกว่าจนนั่นเอง
ส่วนประโยคที่ว่า เป็นหนี้เพราะจน เกิดจากการที่เราอาจจะเคยมีหรือไม่เคยมีเงินพอใช้มาก่อนก็ได้ แต่เมื่อเราดำเนินชีวิตและสร้างหนี้สินไปเรื่อยๆ รายจ่ายมากขึ้น เงินเหลือใช้เริ่มลดลง สุดท้ายเราก็ต้องทำการกู้หนี้ยืมสินเขามาใช้ จนกลายเป็นหนี้นั่นเอง ซึ่งผลลัพธ์ของทั้ง 2 ประโยคนี้ก็คือความจนและความเป็นหนี้นั่นเอง ซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย ผลสุดท้ายก็คือความจนที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้และหนี้สินที่เราจะต้องพยายามจ่ายให้หมดนั่นเอง
อย่างไรก็ตามการเป็นหนี้และความจนนั้นไม่ได้สร้างแต่สิ่งเลวร้ายในชีวิตของเราเสมอไปซะทีเดียว ตามคำกล่าวที่ว่าถ้าหากเราไม่ผ่านพายุฝน เราก็คงไม่ได้เห็นสายรุ้งที่สวยงาม นั่นก็เพราะว่าการที่เราเป็นหนี้และจนนั้นจะสร้างบทเรียนชีวิตดีๆให้กับเราได้ อย่างน้อยๆเมื่อเราเจอสิ่งที่เลวร้ายที่สุด เราก็จะเรียนรู้วิธีการรับมือกับมัน ดังนั้นเราจะไม่ทำผิดซ้ำอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอนถ้าหากว่าเรามีโอกาสจะได้แก้ตัว ซึ่งต้องเรียกว่าการเป็นหนี้และความจนนั้นคือบทเรียนที่สำคัญของชีวิตนั่นเอง และคนที่มีบทเรียนแล้วก็จะมีโอกาสที่จะกลับไปสู่สภาวะแย่ๆนั้นน้อยกว่าคนที่ยังไม่มีบทเรียนอีกด้วย
ซึ่งบางคนที่เคยจนและเป็นหนี้มาก่อน เขาก็สามารถยกฐานะของตัวเองขึ้นมาเป็นคนรวยได้ อาจจะต้องใช้เวลานานหลายปี แต่เขาก็มีความพยายามมากทีเดียว อย่าลืมนะว่าเราไม่ได้ต้องการความสุขสบายในวันนี้แต่เป็นความสุขสบายในวันหน้า ในอนาคตวัยเกษียณ การพยายามฝ่าวิกฤติความจนในวันนี้จึงทำให้อนาคตของเราสดใสขึ้นมาได้นั่นเอง
สิ่งต่อไปที่คนที่เป็นหนี้และมีความจนอยู่ควรรู้นั่นก็คือ ถ้าอยากปลดหนี้สินออกจากตัว นอกจากต้องรู้จักสร้างรายได้เพิ่มเติม ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น และมีวินัยในการใช้เงินที่ดีแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากๆและเป็นนโยบายของรัฐบาลที่มีการประชาสัมพันธ์มากที่สุดนโยบายหนึ่งนั่นก็คือการนำหนี้สินกลับเข้าสู่ระบบ นั่นเพราะหนี้สินในระบบนั้นจะได้รับการเอื้อหนุนจากรัฐบาลและสถาบันการเงินต่างๆ สิ่งที่ตามมาก็คือการผ่อนชำระเป็นเงินขั้นต่ำที่เราสามารถจ่ายได้อย่างสบายๆ และมีการคิดดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราที่ถูกตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งจะช่วยทำให้การเพิ่มขึ้นของหนี้สินเรานั้นลดลงจากเดิมซึ่งเป็นหนี้สินนอกระบบ
โอกาสที่เราจะปลดหนี้สินเดิมที่เรามีนั้นก็ทำได้ง่ายขึ้น โดยการจ่ายเงินทีละเล็กทีละน้อยอย่างสม่ำเสมอ พอเรารู้ตัวอีกทีก็อาจจะไม่มีหนี้สินอีกแล้วก็ได้ แถมยังได้นิสัยการเงินที่ดีกลับไป ซึ่งจะทำให้เรากลายเป็นเศรษฐีน้อยๆได้ในอนาคตนั่นเอง ลองต่อสู้กับภาวะความจนและหนี้สินของตัวเองกันดูนะคะ ว่าความสุขสบายปลอดจากหนี้สินและความจนจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน ในวันนี้คุณอาจจะต้องเหนื่อยสักหน่อย แต่รับรองว่าอนาคตของคุณจะต้องสุขสบายอย่างแน่นอน
ดังนั้น สำหรับคำถามว่าทำไมยังจน ยังเป็นหนี้ สิ่งที่เราต้องตอบได้คือ
อะไรทำให้เราจนและเป็นหนี้ และทำอย่างไรเราถึงจะปลดหนี้ได้นั่นเอง เมื่อเราตอบได้เราก็จะไม่จนและไม่เป็นหนี้นั่นเอง ดังนั้นคุณควรถามและหาคำตอบให้ตัวเองให้ได้ ว่าทำไมคุณถึงจน และเพราะอะไรถึงทำให้คุณเป็นหนี้จนถึงทุกวันนี้ และสุดท้ายอย่าลืมที่จะเตือนใจตัวเองว่าหนี้สินนั้นสร้างความลำบากให้กับคุณมากขนาดไหนเพื่อที่จะได้ไม่พาตัวเองหวนกลับไปสู่คืนวันที่เป็นหนี้อีกนั่นเอง
นอกจากนี้คุณอาจจะลองปรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของคุณดูด้วยก็ได้ ซึ่งจะช่วยให้ค่าใช้จ่ายของคุณลดน้อยลงและยังทำให้คุณปลดหนี้ได้เร็วขึ้นอีกด้วย อยากหมดหนี้เร็วๆ ก็ต้องอดทนหน่อยนะ ไว้รอไปสุขสบายหลังจากปลดหนี้หมดแล้วดีกว่า ชีวิตที่ไม่มีหนี้สินคือชีวิตที่มีความสุขที่สุดนะ