เมื่อพูดถึง บัตรเครดิต หลายคนอาจจะยังไม่รู้จัก บัตรเครดิต ดีเท่าไหร่นัก รู้เพียงว่าเป็นบัตรที่ช่วยให้การใช้จ่ายเงินคล่องตัวมากขึ้นเท่านั้นเอง แต่รู้หรือไม่ว่า บัตรเครดิต นั้นมีหลายประเภทอยู่เหมือนกันนะ เรามาทำความรู้จักกับประเภทของ บัตรเครดิต กันดีกว่าค่ะ
บัตรเครดิตสามารถจำแนกขอบเขตการใช้บัตร ได้ 3 ประเภท ดังนี้
- บัตรเครดิต ที่สามารถใช้ได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ (International Credit Card) เช่น บัตรเครดิต VISA บัตร Master บัตร Diners Club และบัตร American Express เป็นต้น
- บัตรเครดิต ที่ใช้ได้ภายในประเทศ (Local Credit Card) เช่น บัตรเครดิตธนาคารต่างๆในประเทศไทย เป็นต้น
- บัตรเครดิต ที่ใช้เฉพาะร้านค้า (Store Card หรือ Private Label) ได้แก่ บัตรเครดิตเซ็นทรัล บัตรเครดิตเทสโก้โลตัส เป็นต้น
นอกจากจำแนกตามขอบเขตการใช้แล้ว บัตรเครดิตยังนิยมจำแนกออกเป็นลักษณะได้อีกหลายประเภท ดังต่อไปนี้
Charge Card
เป็นบัตรเครดิตที่ผู้ถือบัตรมักจะเป็นกลุ่มนักธุรกิจ นักบริหาร หรือบุคคลผู้มีฐานะทางการเงินค่อนข้างดี บัตรประเภทนี้มีจุดประสงค์ในการใช้เพื่อชำระค่าบริการการเดินทางและท่องเที่ยวพักผ่อน (Travel and Entertainment Card) เป็นหลัก เนื่องจากกลุ่มลูกค้าต้องเดินทางหรือต้องเลี้ยงรับรองแขกอยู่เป็นประจำ บัตรเครดิตประเภทนี้มักไม่ค่อยมีการจำกัดวงเงินค่าใช้จ่ายล่วงหน้า เพียงแค่ต้องชำระยอดหนี้สินให้เสร็จสิ้นไปภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้โดยไม่เสียดอกเบี้ย บัตรเครดิตประเภทนี้ ได้แก่ บัตร Diners Club และบัตร American Express Card (AMEX) สำหรับคนที่มีฐานะปานกลางถึงยากจนก็สามารถทำบัตรเครดิตแบบนี้ได้เหมือนกัน เพียงแต่ต้องมั่นใจว่าจะสามารถชำระเงินคืนได้ทันตามกำหนดเวลานั่นเอง
Credit Card หรือ Bank Card
เป็นบัตรเครดิตที่ออกโดยสถาบันการเงิน โดยออกร่วมกับสถาบันบัตรเครดิตต่างประเทศ (International Credit Card) หรือสถาบันการเงินออกบัตรเครดิตเป็นของตนเอง (Local Credit Card) บัตรประเภทนี้มีจุดประสงค์เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการชำระค่าสินค้าและบริการสำหรับการดำรงชีวิตประจำวันเป็นหลัก ส่วนมากแล้วมักมีการจำกัดวงเงินให้สินเชื่อ (Credit Line) ไว้ในระดับหนึ่ง บัตรเครดิตชนิดนี้ ได้แก่ บัตร VISA บัตร Master Card บัตรเครดิตจากธนาคารต่าง ๆ เป็นต้น บัตรเครดิตประเภทนี้มีลักษณะการชำระเหมือนกันกับ Charge Card คือต้องชำระยอดหนี้สินให้เสร็จสิ้นไปภายในระยะเวลาที่ได้กำหนดเอาไว้โดยไม่เสียดอกเบี้ย นอกจากนี้ผู้ถือบัตรยังเลือกชำระเงินคืนเป็นบางส่วนได้ ด้วยการใช้สินเชื่อหมุนเวียน (Revolving Credit) และเสียดอกเบี้ยร่วมด้วย ในกรณีนี้ยอดค้างชำระของบัตรเครดิตจะแปลงสภาพเป็นเงินกู้ที่ต้องผ่อนชำระเป็นรายงวด ถือเป็นช่องทางเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้ออกบัตร และเป็นการเพิ่มความยืดหยุ่นในการชำระหนี้ให้แก่ผู้ถือบัตรด้วยเช่นกัน
นอกจากนั้น บัตรเครดิตประเภท Bank Card นี้ ยังสามารถออกร่วมกับบริษัทห้างร้านต่างๆ ซึ่งนิยมเรียกว่า Affinity Card หรือ Co-Brand Card ผู้ถือบัตรนี้จะได้รับสิทธิประโยชน์จากบริษัทห้างร้านที่ออกบัตรเพิ่มเติมตามที่กำหนดด้วยเหมือนกัน เช่น บัตรเครดิตที่ธนาคารออกร่วมกับห้างสรรพสินค้า ซึ่งนอกจากลูกค้าจะได้รับเครดิตเงินเชื่อแล้ว ยังนำไปใช้เป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าบางรายการตามโปรโมชั่นในห้างสรรพสินค้าต่างๆได้อีกด้วย บัตรประเภทนี้ได้แก่ บัตรเครดิตร่วมโรบินสัน-กสิกรไทย เป็นต้น ซึ่งบัตรเครดิตประเภทนี้ก็คือบัตรเครดิตที่เราใช้กันอยู่เป็นประจำนั่นเอง โดยใช้ในการซื้อของ จ่ายค่าสินค้าและบริการต่างๆ แต่เมื่อถึงกำหนดชำระเงินรายเดือนก็ต้องชำระตามกำหนดนะคะ
Store Card หรือ Private Label
หมายถึงบัตรเครดิตที่ร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆเป็นผู้ออกให้แก่ลูกค้า เพื่อใช้ในการซื้อสินค้าและบริการในเครือข่ายห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าของตน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการขายของร้านค้าหรือของห้างนั้นๆ ซึ่งอาจจะมีการสะสมคะแนนหรือมีส่วนลดให้เป็นสิทธิพิเศษ เช่น บัตรเครดิตเทสโก้โลตัส หรือบัตรเครดิตเซ็นทรัล เป็นต้น ซึ่งจะเหมาะกับขาช้อปเป็นที่สุด ใครที่ชอบช้อปตามห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ เป็นประจำ บัตรเครดิตแบบนี้แหละเหมาะที่สุด
Cash Card
คือบัตรเครดิตที่มีลักษณะคล้ายกับบัตร ATM คือผู้ถือบัตรนำบัตรไปแสดงที่ธนาคารที่ให้บริการแล้วทำการเบิกเงินได้ แต่สำหรับCash Card สามารถเบิกเงินสดล่วงหน้าได้ โดยไม่หักจากบัญชีผู้ถือบัตร โดยใช้เบิกจ่ายได้เฉพาะกับธนาคารที่ร่วมให้บริการหรือตู้เอทีเอ็มจากธนาคารที่ร่วมให้บริการ โดยผู้ใช้บัตรจะต้องเสียค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยตามเงื่อนไขที่ผู้ออกบัตรกำหนดไว้ การใช้บัตรเครดิตแบบนี้กดเงินสดจะมีค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่าใช้บัตรเครดิตแบบ Credit Card หรือ Bank Card กดเงินสดมากทีเดียว
Debit Card
บัตรเดบิตมีลักษณะคล้ายกับบัตรATM คือเป็นการหักเงินโดยตรงจากในบัญชีของเจ้าของบัตรและไม่มีสินเชื่อที่ใช้ในการเบิกเงินสดหรือใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ โดยร้านค้าจะเรียกเก็บเหมือนบัตรเครดิตแต่จะไม่มีดอกเบี้ย รายละเอียดจะขึ้นอยู่กับธนาคารที่ผู้ใช้บัตรเปิดบัญชีบัตรด้วย
ในปัจจุบันตามประกาศของคณะกรรมการ ว่าด้วยสัญญาสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งประกาศให้ธุรกิจบัตรเครดิตเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา โดยกำหนดให้บัตรเครดิตนั้นมีความหมายรวมถึงบัตรเดบิตด้วย ใครที่ต้องการจะทำบัตรเครดิต ควรเลือกประเภทของ บัตรเครดิต ที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดนั่นเอง แต่อย่างไรก็อย่าลืมนะคะว่าการใช้บัตรเครดิตก็ก่อให้เกิดโทษได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นควรใช้อย่างมีสติไม่ว่าจะเป็น บัตรเครดิต ประเภทไหนก็ตาม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลังนั่นเอง