ขึ้นชื่อว่าเป็นคนรวยแล้ว ใครๆก็อยากเป็นกันทั้งนั้น สิ่งที่ทุกคนมักจะหวังไว้คือในอนาคตอันใกล้ คืออยากมีอิสรภาพทางการเงิน อยากมีเงินใช้สบายๆไปตลอดชีวิต ซึ่งคนรวยโดยส่วนมากแล้ว ก็จะมีอิสรภาพทางการเงินทั้งนั้น แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการทำงานหนัก ไม่ว่าจะเป็นสายงานด้านไหน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้ว ในจุดเริ่มต้นของเส้นทางเศรษฐีนี้ แทบทุกคนต่างก็ต้องผ่านการฝึกวินัยในการ ออมเงิน มาด้วยกันทั้งนั้น และนำเงินออมนั้นมาลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
การออมเพื่อการลงทุน
ในส่วนนี้เราจะมาพูดถึงการออมเพื่อการลงทุนกัน ซึ่งในช่วงแรกอาจไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าจะทำให้เป็นคนรวย เป็นเศรษฐีได้ แต่การออมนี้เองจะสร้างอิสรภาพทางการเงินได้ในอนาคต และจะเป็นเส้นทางสู่การเป็นเศรษฐีอย่างแน่นอน โดยในส่วนเริ่มต้นนั้น ทุกคนเคยสงสัยหรือไม่ว่า เราต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในวัยเกษียณอายุ เรามีวิธีการคำนวณให้ดังนี้ ซึ่งการคำนวณนี้เป็นหลักการคำนวณสากล นั่นคือ 1/10 คูณด้วย อายุ แล้วคูณด้วย เงินได้ตลอดทั้งปี
ตัวอย่าง เช่น
ถ้าขณะนี้คุณอายุ 25 ปี มีเงินเดือน 15,000 บาท เท่ากับปีละ 180,000 บาท 1/10x25x180,000 เท่ากับว่าคุณควรมีเงินออม 450,000 บาท การเงินจำนวนนี้อาจจะดูมากไปสำหรับบางท่าน แต่ลองคิดดูว่าหากคุณเกษียณอายุที่ 60 เท่ากับมีเวลา 35 ปีในการออม ก็เท่ากับ 12,857 บาทต่อปี หรือเดือนละ 1,071 บาทเท่านั้นเอง หากทำได้เกิน หรือตามเป้าก็ถือว่าเป็นกำไร อย่างน้อยก็ดีกว่าทำได้ไม่ถึงเป้าที่กำหนด
ตอนนี้คุณอาจจะรู้สึกว่าการเงินของคุณยังไม่พร้อมสำหรับการออมเพื่อการลงทุน ด้วยเงินเดือนเท่านี้ แต่เชื่อหรือไม่ว่าหากคุณเริ่มทำจริงๆ คุณจะสามารถออมได้ ดังนั้นจึงควรรีบออมทันทีและฝึกให้เป็นนิสัย แล้วการออมจะเป็นเรื่องง่ายและ การใช้จ่ายเองก็จะลดลงไปโดยอัตโนมัติ เพราะโดยปกติที่เราไม่ออม เงินจะอยู่ในมือและเราสามารถนำมาใช้จ่ายได้อย่างอิสระโดยไม่ทันได้คำนึงถึงการออม
จะเริ่มออมเงินอย่างไรดี?
คุณมักจะทำเช่นนี้ใช่หรือไม่ การจัดการการเงินของคุณคือต้นเดือนเมื่อได้รับเงินเดือนก็จะเอาไปทยอยใช้หนี้ในส่วนต่างๆ จากนั้นก็นำมาจับจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายประจำวัน รอเหลือเท่าไหร่ค่อยเก็บไว้เป็นเงินออม ซึ่งมันมักจะไม่เป็นเช่นนั้นเพราะช่วงปลายเดือนมาเงินก็แทบเหลือไม่พอใช้ทุกที คุณคิดว่า ขนาดแค่ใช้จ่ายยังไม่พอเลย จะเอามาออมได้อย่างไร ขอแนะนำว่า ควรเปลี่ยนวิธีใหม่ โดยหักเงินออมเก็บไว้ตั้งแต่ตอนจัดสรรการเงินสำหรับใช้หนี้และค่าใช้จ่ายต่างๆไปเลย
ตัวอย่าง เช่น
คุณมีเงินเดือน 15,000 บาท จ่ายค่าหอ 4,000 บาท ค่าน้ำ ค่าไฟ 1,000 บาท ค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำมันรถ 1,000 บาท ค่าผ่อนรถ 4,000 บาท ก็แปลว่าคุณเหลือเงินสำหรับกินใช้แค่เดือนละ 5,000 บาทเท่านั้นเอง แต่หากคุณอยากออมจริงๆ คุณต้องจัดการการเงินใหม่ หักเงินออมส่วนนั้นไว้ เช่นต้องการออม 1,500 บาทต่อเดือน หักออกเก็บไว้ในธนาคารเลย แล้วค่อยนำเงิน 3,500 มาจัดสรรปันส่วนการเงินสำหรับค่ากินให้ลงตัว
ซึ่งหากทำเช่นนี้แล้ว คุณจะมีเงินออมแม้ว่าจะมีรายได้หรือเงินตกถึงมือน้อยแค่ไหน โดยการจัดสรรการเงินจำนวนน้อยให้พอเพียงต่อการใช้จ่ายทั้งเดือนนั้น ทำได้โดยการคำนวณเป็นรายวันก็ได้ นั่นคือวันละ 116 บาท และไม่ใช้จ่ายให้เกินนี้ในแต่ละวัน หรือนำเงินไปซื้อข้าวสาร อาหารแห้งและสิ่งจำเป็นที่พอเพียงต่อหนึ่งเดือนไว้ทั้งหมด แล้วค่อยนำเงินที่เหลือมาหารเพื่อใช้จ่ายรายวันอีกทีหนึ่งก็ได้
ทำไมต้องจัดการการเงินอย่างนั้น?
คุณรู้หรือไม่ว่า คนที่เริ่มออมก่อน ระยะเวลาหนึ่งแล้วค่อยมาหยุดทีหลังนั้น จะมีเงินมากกว่าคนที่เริ่มต้นออมทีหลัง และออมไปจนถึงเกษียณ เช่น ชายคนหนึ่งเริ่มออมเงินที่อายุ 21 ปี โดยออมที่ปีละ 100 บาท เป็นเวลา 8 ปี แล้วหยุดออมเงินเพิ่ม แต่เงินที่ออมไว้นั้นถูกนำไปลงทุนโดยมีค่าตอบแทนถึง 10% ในขณะที่ชายอีกคน เริ่มออมเงินที่ปีละ 100 บาท และได้รับผลตอบแทนเท่ากัน เมื่ออายุ 29 ปี ไปจนถึงอายุ 60 ปี เท่ากับออม 32 ปี เมื่ออายุครบ 60 ปี ชายคนแรกจะมีเงินออมถึง 26,500 บาท ในขณะที่ชายคนที่สองจะมีเงินออมเพียง 22,100 บาท และเมื่อชายทั้งสองคนทำการออมเงินไปเรื่อยๆโดยไม่หยุดออมจนถึงอายุ 60 ปี จะมีเงินรวมต่างกันถึงเกือบหนึ่งล้านบาท
ดังนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม การจัดการการเงินควรเป็นเช่นนี้ แม้เงินเดือนคุณจะน้อยเท่าไหร่ ก็ควรจะเริ่มออมให้เร็วที่สุดจะดีกว่า สำหรับคนที่คิดว่าตอนนี้รายได้ยังน้อย รายจ่ายยังเยอะ รอมีเงินเยอะๆ ค่อยออมจึงเป็นความคิดที่ผิดอย่างมาก เพราะไม่มีอะไรการันตีการเงินของคุณได้ว่า ในอนาคตคุณจะมีรายได้ที่มากกว่านี้ หรือถึงแม้จะการันตีได้ว่าเงินที่ได้รับจะมากกว่านี้แต่ไม่ได้หมายความว่ารายจ่ายจะไม่เพิ่มมากตามไปด้วย อนาคตเราเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ แต่การ ออมเงิน นั้นแน่นอนที่สุด ซึ่งคำว่า “ออมก่อน รวยกว่า” สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าเป็นจริง แล้วคุณจะรีรออะไร มาเริ่ม ออมเงิน เพื่อการลงทุนในอนาคตที่สดใสกันดีกว่า