ยุคเศรษฐกิจแบบนี้ชักหน้าไม่ถึงหลัง เชื่อกันว่าหลายๆท่านมักจะหาเงินไม่ทันใช้ สนใจในส่วนของ บัตรกดเงินสด ไม่น้อยนัก แต่ก่อนที่เราจะกดบัตรกดเงินสด ซึ่งถ้าคุณมีเครดิตมากพอ ทำงานประจำ มีรายได้แน่นอน หรือเหมือนแต่ละธนาคารมักจะรู้ใจเลยว่าช่วงนี้คุณจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ คุณจะแทบสายไม่ว่างกันเลยทีเดียวเพราะว่า ในแต่ละธนาคารจะกระหน่ำโทรหาคุณ เพื่อนำเสนอบัตรกดเงินสดต่างๆมากมาย เพื่อให้คุณต้องตัดสินใจ คงไม่มีใครปฏิเสธถ้าสถานการณ์ตอนนั้นคุณจำเป็นต้องใช้เงินด่วน แน่นอนคุณก็ไม่อยากที่จะต้องเป็นหนี้สินมากมาย ทั้งบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด เพื่อให้คุณได้รู้มากกว่า วันนี้นำเรื่องของบัตรกดเงินสดมาอธิบายให้เข้าใจมากขึ้น ก่อนอื่นเราต้องดูก่อนว่ามันทำอะไรได้บ้าง เป็นอย่างไร
บัตรกดเงินสดเป็นบัตรที่ธนาคารหรือผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตทั้งที่เป็นธนาคารพาณิชย์ เช่น ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารต่างชาติ เช่น ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด, ธนาคารซิตี้แบงก์, ธนาคารเอเชีย และไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (Non Bank) เช่น บริษัท จีอี แคปปิตอล, บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์, บริษัทเซทเทเลม ดำเนินการพิจารณาออกให้แก่ผู้ถือบัตร (Card Holder) พร้อมกับการอนุมัติมีวงเงินให้จำนวนหนึ่งหรือกำหนดวงเงินจำนวนสูงสุดที่ผู้ถือบัตรจะสามารถทำการเบิกถอนเงินสดไปใช้ตามความประสงค์ได้ โดยที่ไม่ต้องมีเงินฝากไว้ในบัญชีธนาคาร
อย่าดีใจไปว่า เมื่อไม่มีเงินฝากในธนาคารแล้ว ทางแต่ละสำนักทางการเงินจะอนุมัติได้ ในการขอมีบัตรกดเงินสด คุณควรระบุวงเงินที่ตรงตามความเป็นจริง ไม่ขอเผื่อไว้มากเกินไป ยิ่งขอมาก ยิ่งเป็นหนี้มาก ดังนั้น จึงต้องคิดให้รอบคอบว่าจะขอวงเงินเท่าใด ที่จะใช้จริง วิธีการคำนวณก็คือ นำยอดเงินที่ต้องจ่ายหนี้ในแต่ละเดือน รวมทั้งค่าเช่าและเงินกู้ผ่อนชำระระยะยาวเป็นตัวตั้ง หารด้วยเงินได้สุทธิ ทั้งนี้ทั้งนั้น ยอดเงินเพื่อการชำระหนี้ ต้องไม่เกิน 15-20% ของรายได้สุทธิต่อเดือน ที่สำคัญเราต้องรู้ตัวเองก่อนว่าสามารถรับผิดชอบในการชำระหนี้ได้ตามกำหนดโดยไม่เดือนร้อนนัก เพราะยิ่งตัวคุณเองมีอัตราหนี้สินต่อสินทรัพย์น้อย ยิ่งแสดงว่าคุณมีเงินสะสมเหลือพอจะนำไปใช้จ่ายได้
บัตรกดเงินสด และบัตรเครดิตต่างกันไหม ?
บัตรกดเงินสด และ บัตรเครดิต แตกต่างกันสิ้นเชิง ตั้งแต่การสมัครและการใช้ วัตถุประสงค์ต่างกันตรงที่บัตรกดเงินสดด้วยชื่อ ก็รู้เลยว่ากดได้เฉพาะเงินสดไม่สามารถนำมาใช้จ่าย ช้อปปิ้งซื้อตัดบัตรบนออนไลน์ได้เหมือนบัตรเครดิต ซึ่งส่วนมากในตอนนี้ หลายๆธนาคารจะออกบัตรเครดิตมาได้ทั้งนำไปรูดซื้อสินค้า ผ่อนชำระ รวมถึงสามารถกดเงินสดได้อีกด้วย
บัตรกดเงินสดให้วงเงินสูงสุดได้เท่าไหร่ ?
ในแต่ละวงเงินจริงๆแล้วนั้นส่วนมากจะมองในเรื่องของรายได้ วงเงินสูงสุดถึง 5 เท่าของเงินเดือน สมมติ ถ้ามีเงินเดือน 10,000 หรือสูงสุดไม่เกิน 1,000,000 บาท หรือกดได้แต่ละครั้งไม่เกิน 100,000 บาท บัตรกดเงินสด มีอัตราดอกเบี้ยที่แพงกว่า บัตรเครดิต 8% อัตราดอกเบี้ยปกติของบัตรเครดิต จะอยู่ที่ 20% ต่อปี ก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในแต่ละธนาคาร แต่บัตรกดเงินสด ไม่เกิน 28% ต่อปี ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่น และวงเงินของธนาคารหรือสถาบันการเงิน ที่กำหนดด้วย และมีการคิดอัตราดอกเบี้ยหลังกดเงินสดทันที ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการจ่ายชำระหนี้ ดังนั้น หากเราใช้ บริการ บัตรกดเงินสดแล้ว ควรจะรีบใช้คืนให้เร็วที่สุด กดใช้แล้วรีบชำระคืน ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะมีผลโดยตรงกับดอกเบี้ยที่ต้องเสีย แต่ถ้าไม่มีการกดเงินก็ไม่เสียดอกเบี้ย และคิดดอกเบี้ยตามยอดที่ใช้จริง ซึ่งแต่ละที่ก็จะให้ชำระขั้นต่ำคืนขั้นต่ำ 5% หรือไม่น้อยกว่า500 บาท บัตรกดเงินสด ไม่มีค่าธรรมเนียมการกด หรือค่าธรรมเนียมรายปี
บัตรกดเงินสด จะแตกต่างจาก บัตรเครดิตอย่างชัดเจนอีกข้อหนึ่งคือ บัตรกดเงินสดนั้น เวลาที่เราต้องการใช้เงินฉุกเฉิน บัตรเครดิตเสียค่าธรรมเนียมการกด 3% ของวงเงินที่เรากดออกมา แต่บัตรกดเงินสด นั้น ไม่มีค่าธรรมเนียมการกด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วธนาคารหรือผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตจะยกเว้น ค่าธรรมเนียมแรกเข้า และรายปีตลอดชีพ กดเงินสดออกมาจากบัตรกดเงินสดจากตู้ ATM ใดก็ได้ตลอดเวลา
บัตรกดเงินสด สมัครอย่างไรให้อนุมัติ ?
บัตรกดเงินสด สามารถสมัครได้ง่ายกว่าและอนุมัติเร็วกว่า บัตรเครดิตไม่น่าจะเกิน 7 วัน เพราะว่า ไม่จำเป็นเลยที่ผู้ถือบัตรกดเงินสดต้องมีฐานเงินเดือน ประสบการณ์การทำงาน หรือ แม้กระทั่งเงินเดือนของ ผู้ที่สมัคร บัตรกดเงินสด สมัครโดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์หรือผู้ค้ำประกันและวงเงิน หรือบางที่ไม่ต้องมีบัญชีกับธนาคารก็สมัครบัตรกดเงินสดได้เช่นกัน
บัตรกดเงินสด คิดก่อนสมัคร!
ก่อนสมัครบัตรกดเงินสดให้วางแผนสำรวจตัวเอง 3 อย่างง่ายๆ
1. เงินที่กดมาใช้นั้นจำเป็นหรือฉุกเฉินจริงๆหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่าเราเอาเงินอนาคตมาใช้ กดปุ๊บ มีดอกเบี้ยทันทีตามใช้จริง จะมากน้อยอย่างไรก็ขึ้นอยู่ ชำระเงินได้เร็วกว่าดอกเบี้ยจะโตไหม
2. เช็คหนี้สิน คุณควรมีหนี้สินใดๆ ก็ตาม รวมแล้วไม่ควรให้เงินที่ต้องจ่ายหนี้เกินกว่า 50% ของรายได้ของคุณ หาเงินได้ 2,000 ใช้จ่าย 2,500 มีหนี้สินเพียบ ไม่มีเงินออม แต่ต้องทบเอาเงินอีกเดือนมาใช้ หรือ หาเงินได้ 2,000 ใช้หมดเลยไม่มีเงินออมสักที แบบนี้ไม่ควรมีบัตรกดเงินสด ทั้งนี้ คุณจะต้องปรับแผนการใช้เงินใหม่ เพื่อให้ตัวเองมีเงินออม
3. ความสามารถในการหารายได้เพิ่ม หรือความสามารถในการชำระหนี้ เมื่อรู้ตัวว่าใช้เงินมือเปิบ รายได้มาเท่าไหร่ใช้เงินหมดแนะนำให้ลดการใช้จ่ายและเพิ่มรายได้มากขึ้น เพราะอย่าลืมว่า บัตรกดเงินสด คิดดอกเบี้ยตามยอดที่ใช้จริง ไม่เบิกไม่เสียดอกเบี้ย เมื่อเป็นหนี้แล้ว ความรับผิดชอบเกิดขึ้นทันที เพื่อให้หนี้สินหมดไว จัดระเบียบการใช้เงินของตัวคุณใหม่ เพื่อจะไม่เดือดร้อน ถ้าจำเป็นต้องใช้เงินอีกในครั้งที่ 2
ความสำคัญไม่ใช่การเป็นหนี้ หรือจะกดเงินเท่าไหร่ จะใช้หมด ความสำคัญของการใช้บัตรกดเงินสดคุณต้องมั่นสร้างวินัยทางการเงิน เพื่อให้การชำระเงินหลังจากใช้บัตรกดเงินสดแล้ว ห้ามผ่อนชำระเป็นรายเดือนเด็ดขาดนั่นจะทำให้คุณลืมเงินก้อนโตที่กดไป หรือเลยกำหนดจ่ายบ่อยๆ เมื่อได้รับใบแจ้งหนี้ควรจ่ายทันที และเก็บข้อมูลการใช้จ่ายทุกครั้ง