ลำบากวันนี้สบายวันหน้า คำพูดนี้เชื่อว่าหลายๆคนได้รับการอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่วัยเด็ก ตั้งแต่วัยเรียน จนกระทั่งมีครอบครัวและส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งผู้เขียนเองก็ได้รับสั่งสอนด้วยประโยคนี้เช่นกัน ตอนเด็กๆอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องลำบาก และ ลำบากไปทำไมในเมื่อที่บ้านก็ไม่ได้จนขนาดต้องให้ลูกหลานเลิกเรียนมาทำงาน หรือไปเป็นขอทาน ไม่ได้จนถึงขนาดต้องอดมื้อกินมื้อ ซึ่งพอโตขึ้นถึงได้เข้าใจว่าคนสมัยก่อนเขาสอนกันแบบนี้เพราะอะไร
คุณยายบอกเล่าว่า
สมัยคุณยายเด็กๆนั้นที่บ้านก็ไม่ได้มีเงินมากมาย เป็นชาวสวนย่านพระประแดง ก็ปลูกมะม่วง มะพร้าว ปลูกผักขายทำกันมารุ่นต่อรุ่น เพียงแต่คุณทวด (แม่ของคุณยาย) เป็นคนขยัน คุณตาก็เป็นคนขยัน จึงทำให้ที่บ้านมีเงินพอใช้จ่าย แม้จะไม่รวยอย่างคนอื่นๆ แต่ก็ไม่จนเพราะมีเงินซื้อข้าวสาร ซื้อของใช้ที่จำเป็นในยุคนั้นได้ และ ส่งให้ลูกๆเรียนหนังสือซึ่งสมัยคุณยายนั้นส่วนใหญ่ลูกชาวสวนธรรมดาๆ ก็เรียนโรงเรียนวัด จบกันแค่ ป.7 ก็เริ่มหางานทำเรียกว่าเรียนแต่อ่านออกเขียนได้พอ คุณยายก็เช่นเดียวกันพี่น้องที่เป็นผู้ชายก็ขวนขวายเรียนกันด้วยการบวชเณร เพื่อให้มีการศึกษาที่สูงขึ้น พี่น้องผู้หญิงก็หางานทำช่วยพ่อแม่
คุณยายบอกว่า
คุณทวดจะสอนให้อดทน ให้ทำงานได้ทุกอย่างที่เป็นงานสุจริต ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างเขา หรือ แม้แต่พายเรือขายขนม ช่วยทำขนม งานบ้านงานเรือนต่างๆต้องไม่บกพร่อง คุณยายบอกว่าคนสมัยก่อนนั้นมีความอดทนมากกว่าคนสมัยนี้ ที่จะทำงานแล้วออกจากงานนั้นน้อยมาก หากไม่เหลือทนจริงๆ หรือเกเรจริงๆ ก็จะทำงานอย่างอดทนทั้งนั้น คุณยายบอกว่าบางคนเป็นลูกจ้างเถ้าแก่คนจีนตามร้านอาหาร ฝึกฝนจนเถ้าแก่รักและเอ็นดูจนเปิดร้านให้เป็นของตัวเองเลยก็มี
คุณยายมักบอกเสมอว่า
ให้อดทนไม่ว่าจะเจออะไร ลำบากตอนนี้จะสบายตอนแก่ คุณยายบอกว่าสมัยก่อนนั้นกว่าจะได้เงินสักบาทลำบากมาก ใครมีเงินหลายบาทนี่โก้ไปหลายวัน ใครทำงานเป็นเสมียน ทำบัญชี เป็นครู เป็นหมอ นี่คือคนเก่งมีความรู้ มีคนนับหน้าถือตา ใครที่มีกิจการร้านค้าของตัวเองไม่ว่าเล็กหรือใหญ่นั่นคือคนรวยคนที่อดทนเพราะคนสมัยก่อนนั้นต้องก่อร่างสร้างตัวจากไม่มีอะไร เหมือนกับคุณยายและคุณตา คุณยายบอกว่าบ้านที่อยู่ตอนนี้ เมื่อ 50-60 ปีที่แล้วนั้นที่คุณตาและคุณยายเริ่มซื้อไว้เมื่อมีรายได้ ผ่อนกันเดือนละหลายร้อยบาทกับที่ 50 ตารางวาที่ราคาตอนนั้นตารางวาละ 600 บาทคุณยายบอกว่ากว่าจะผ่อนหมดก็ใช้เวลาหลายปี
แต่ที่ทำได้เพราะอดทน และประหยัด เพื่อให้มีบ้าน มีที่ดินในกรุงเทพเป็นของตัวเอง เพราะที่สวนที่พระประแดงนั้นมีพี่น้องหลายคนที่ดินก็ไม่ได้มีเยอะแบ่งกันแล้วก็ได้คนละนิดละหน่อย จึงตัดสินใจว่าหาสร้างเป็นของตัวเองดีกว่า คุณตานั้นทำงานเป็นช่างในบริษัทฝรั่ง ได้เงินเดือนพอสมควรสำหรับสมัยนั้น ส่วนคุณยายก็ไปเรียนทำผมมาเปิดร้านเสริมสวยในย่านคลองเตย เพราะสมัยนั้นมีฝรั่งเยอะ มีบาร์มากมาย มีสาวๆเยอะ แน่นอนว่าทุกคนต้องใช้บริการร้านเสริมสวย จึงเช่าตึกเปิดร้านโดยขอเช่าแค่ชั้นล่าง แบ่งกั้นไว้เป็นห้องนอนและทำร้าน จนผ่อนที่ได้หมดและมีเงินปลูกบ้าน คุณยายบอกว่าผ่อนที่เก็บเงินกันตั้งแต่อายุ 20 กว่าๆ จนอายุเกือบ 40 ถึงได้มาอยู่ที่นี่และเปลี่ยนมาขายของชำ แต่ก็ยังทำผมให้คนคุ้นเคยที่ตามมาทำกันที่บ้านใหม่
เพราะยอมลำบากยอมอดทน ทุกวันนี้จึงมีบ้านให้ลูกหลานรุ่นต่อมาได้อยู่อาศัย คุณยายบอกว่าคุณตาไม่ยอมเป็นหนี้ ไม่กู้เงินใครและที่ผ่อนที่ดินแปลงนี้นั้นก็ผ่อนกับเจ้าของโดยตรง เพราะสมัยนั้นการกู้ธนาคารไม่เป็นที่นิยม มักจะทำสัญญากันโดยตรงระหว่างเจ้าของที่และคนซื้อกันมากกว่าเพราะคนสมัยก่อนมีสัจจะมากกว่าสมัยนี้ และเพราะการที่ยอมลำบากทำงานทุกอย่างอะไรที่เป็นรายได้จะทำเพื่อให้มีเงินผ่อนที่และเก็บไว้ปลูกบ้าน
คุณยายถึงได้สอนเสมอว่า ถ้าอยากสบายตอนแก่ก็รู้จักความลำบากตั้งแต่ตอนอายุน้อยๆ รู้จักทำงานหาเงินเอง รู้จักเก็บเงินเอง แล้วจะรู้ว่าความลำบากเป็นอย่างไร หาเงินมันอยากขนาดไหน และจำความลำบากเอาไว้ว่าเป็นอย่างไรเพื่อที่จะได้ไม่ทำให้ตัวเองกลับไปเป็นอย่างนั้นอีกในเวลาที่มี