เชื่อว่าทุกคนล้วนมีความฝัน และความปรารถนาที่จะรวย เห็นได้จากยอดขายชาเขียวที่พุ่งสูงขึ้นทุกครั้ง ที่มีการลุ้นรหัสใต้ฝา แต่ความร่ำรวยเพียงชั่วข้ามคืนไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆกับทุกคน หากเราหวังพึ่งโชคชะตาเพียงอย่างเดียว ฝันที่จะรวยขึ้นสักวันก็คงจะเป็นฝันอยู่อย่างนั้น
ตามคำสอนโบราณของจีนที่ว่า สามสิบลิขิตฟ้า เจ็ดสิบต้องฝ่าฟัน หมายความว่า ความสำเร็จในชีวิตของคนเรานั้นประกอบขึ้นจากสองส่วนด้วยกัน หนึ่งคือโชคชะตาฟ้าลิขิต 30% และอีกส่วนนั้นมาจากความตั้งใจและความมุ่งมั่นของคนนั้น ดังนั้นต่อให้เราได้คะแนนเต็มเรื่องดวงดี ดวงเฮง เราก็ยังคงต้องลงแรงอีกตั้ง 70% เพื่อไปให้ถึงฝั่งฝัน
ดังนั้น ถ้าคุณอยากรวย คุณต้องเชื่อก่อนว่า คุณนั่นแหละคือผู้กำหนดชีวิตของคุณเอง สังเกตได้จากมหาเศรษฐีหลาย ๆ คน ทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น สตีฟ จ็อบ หรือ คุณเฉลียว อยู่วิทยา ต่างก็ร่ำรวยขึ้นจากความเชื่อความศรัทธาในตัวเองกันทั้งนั้นค่ะ ความตั้งใจที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวต่างหากที่เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญให้คน ๆ นั้นมีฐานการเงินที่ดี แล้ว ใครก็ตามที่เกิดมาบนกองเงินกองทอง แต่ไม่ทำอะไรให้งอกเงยขึ้น วันหนึ่งทรัพย์สินก็อาจหมดไปได้ หรือคุณจะดูตัวอย่างจากเถ้าแก่น้อยต๊อบ ที่ขายสาหร่ายทอด จนสามารถกู้วิกฤตภาระหนี้สินของทางบ้านได้ หรือในกรณีของคุณเฉลียว อยู่วิทยานั้น ก็เกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่คุณเฉลียวก็ใช้ความพากเพียรของตัวเองตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก ๆ ขายของเกือบทุกอย่างทั้งผลไม้ และยา กว่าจะมีวันนี้ที่กิจการเครื่องดื่มกระทิงแดงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในตลาดโลก
นอกจากความศรัทธาและความเชื่อว่า ฉันนี่แหละจะรวยด้วยตัวเองแล้ว จะเห็นได้ว่าคนรวย ๆ นั้น เขาจะลงมือค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ตั้งแต่เด็กด้วยค่ะ อย่างเช่น บิล เกตส์ เจ้าของบริษัทคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่อย่าง ไมโครซอฟท์นั้น แม้จะไม่ได้มีวัยเด็กที่ยากลำบากก็จริง พ่อของเขาเป็นทนาย และแม่เป็นอาจารย์ แต่ตัวบิล เกตส์ เองมีนิสัยชอบค้าขายจึงมองหาลู่ทางทำกินตั้งแต่เด็ก โดยการรับจ้างเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งก็เป็นวิธีหาเงินที่ดีไม่ใช่เล่นเลยล่ะ หรือ วอร์เรน บัฟเฟตต์เอง กว่าจะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีอันดับสองของโลกนั้น สมัยเด็กเขาต้องทำงานหลายอย่างทั้งขายของ และส่งหนังสือพิมพ์เพื่อเอาเงินมาลงทุนต่อ ดังนั้นความเป็นอยู่ในปัจจุบันไม่ใช่ตัวกำหนดอนาคตทางการเงินของคุณ แต่ความสำเร็จนั้นเริ่มต้นเมื่อคุณลงมือทำต่างหาก
สำหรับคนรวยนั้น เขาอาจจะไม่มองอนาคตเพียงระยะสั้น หรือตั้งเป้าหมายที่เล็ก และง่ายจนเกินไป ในทางตรงกันข้าม เป้าหมายของคนรวยมักจะใหญ่และท้าทาย เป็นการฝึกนิสัยชอบเอาชนะเป็นอย่างดี หากคนรวยคิดจะเปิดร้านอาหารสักร้าน เขาก็จะคิดว่าต้องเป็นร้านอาหารที่สามารถนำไปต่อยอดเป็นแฟรนไชส์ หรือเปิดสาขาต่อที่ต่างประเทศได้ ในขณะที่คนธรรมดาทั่วไป อาจจะวาดฝันแค่ร้านอาหารเล็กๆก็พอแล้ว เห็นได้ชัดว่าคนรวยที่ประสบความสำเร็จสูงอย่าง บิล เกตส์ เป็นอีกคนที่ตีโจทย์แตก มองทะลุไปถึงอนาคตว่า คอมพิวเตอร์จะเป็นมากกว่าอุปกรณ์สำนักงานทั่วไป เป็นของใช้ในบ้านที่จำเป็นของทุกคน ทำให้เขาทุ่มเวลาทั้งหมดเพื่อธุรกิจคอมพิวเตอร์ของเขา และประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในทุกวันนี้
มุมมองและอุปนิสัยอีกอย่างหนึ่งของคนรวยที่เรา ๆ ควรทำตามก็คือ ร่วมยินดีกับความสำเร็จของผู้อื่น คนที่ประสบความสำเร็จอย่างคุณวอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือ คุณบิล เกตส์ ทั้งที่ทั้งคู่เป็นคนรวยระดับโลกแต่ก็ให้การยกย่องและศรัทธาความสามารถของกันและกันเป็นอย่างดี การนำเอาคนรวยเหล่านั้นมาเป็นแรงบันดาลใจ จึงทำให้เรามีมุมมองทางธุรกิจ มีแนวความคิดด้านบวก และกระตุ้นให้หาช่องสร้างโอกาสอีกด้วย
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่เราควรฝึกฝนให้เป็นนิสัยคือ การลงมือทำทันที ถ้าจะอิงคำโบราณของจีนก็คือ ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน ถ้าคุณกำลังมีไฟในเรื่องใดก็ให้ลงมือทำเรื่องนั้นทันทีอย่าผัดวันประกันพรุ่ง
แต่ไม่ใช่ว่าเราจะทำอะไรโดยไม่วางแผน เราต้องคิดให้ดีแต่ไม่ใช่เอาแต่คิดโดยไม่ลงมือทำ ดูตัวอย่างจากหนังเรื่องเถ้าแก่น้อยก็ได้ เมื่อสงสัยว่าทอดสาหร่ายได้อย่างไรก็ลงมือทอดเอง ลองผิดลองถูกให้รู้กันไป ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรได้แต่นั่งมองสาหร่ายอย่างเดียว ถ้าคุณอยากรวย มาเปลี่ยนวิธีคิดตั้งแต่วันนี้กัน