การดำเนินชีวิตของเราในแต่ละวันนั้นมีความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ลุ่มๆดอนๆ ไม่แน่ชัดว่าจะไปในทิศทางใด ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกที่ซบเซา อัตราการปลดพนักงานที่เพิ่มสูงขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่เรานั้นสามารถที่จะรับมือการความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจได้นั้น คือการออม
การออมอาจจะมีความหมายถึง การเก็บเงิน แต่ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องซะทีเดียว การออมในความหมายที่แท้จริง คือการเก็บเงินไว้ส่วนหนึ่งแล้วนำอีกส่วนไปต่อยอดให้ออกดอกออกผลที่เพิ่มมากขึ้น จึงจะเป็นการออมที่ถูกต้องที่สุด หลายคนมีความตั้งใจแน่วแน่ว่าปีใหม่นี้จะเริ่มต้นออมอย่างเอาจริงเอาจัง แต่พอเริ่มออมได้ระยะหนึ่งก็วนกลับไปสู่สภาวะเดิมๆ การขาดวินัย การไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการออม จึงส่งผลให้การออมไม่เกิดประสิทธิผลมากนัก พอเจอปัญหาด้านการเงินก็ไม่สามารถที่จะแบกรับไว้ได้
ปัญหาของผู้ที่เริ่มต้นออมแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ออมได้แบบครึ่งๆกลาง เกิดจากปัจจัยดังต่อไปนี้
เป้าหมายที่ไม่ชัดเจน
ปัญหาหนึ่งของผู้ที่เริ่มต้นออม คือ ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าออมไปเพื่ออะไร และไม่ชัดเจนว่าเดือนๆหนึ่งจะต้องออมเท่าไหร่ เช่น เงินเดือน 10,000 บาท แต่ไม่มีเป้าหมายชัดเจนว่าแต่ละเดือนจะหักเงินออกมาเป็นการออมเดือนละเท่าไหร่ พอเงินเดือนออกมาก็นำไปใช้จ่ายส่วนตัว ไปชำระค่าใช้จ่ายต่างๆก่อน พอเหลือแล้วค่อยเก็บไว้ ซึ่งเป็นวิธีการออมที่ไม่ถูกต้อง การออมแบบมีเป้าหมายที่ชัดเจน จะต้องหักเงินออมออกมาทันที 10% หรือมากกว่านั้นทันทีเมื่อได้รับเงินเดือนมา อย่าอิดออดที่จะหักเงินออกมาเป็นเงินออม เพราะหากเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว จะเกิดวินัยตามมาทันที พอถึงสิ้นเดือนคุณก็จะหักเงินออกมาเป็นเงินออมแบบอัตโนมัติทันที โดยไม่รู้สึกเสียดาย ดังนั้นเป้าหมายของการออมจึงไม่ใช่การตั้งเป้าเพียงออม แต่หากเรามีการวางเป้าหมายว่าเราจะออมไปเพื่ออะไร จะทำให้เรานั้นมีความมุ่งมั่นที่จะออม เช่น ซื้อบ้าน ซื้อรถยนต์ หรือเก็บไว้ให้ลูกเรียนหนังสือ เป็นต้น
รายจ่ายมากกว่าเงินเดือน
สาเหตุต่อมาที่เป็นอุปสรรคในการออมที่ส่งผลต่อเราอย่างมาก คือ การที่เรามีรายจ่ายเยอะเกินกว่ารายได้ของเราในแต่ละเดือน จนไม่สามารถที่จะมีเงินเหลือเก็บได้ เช่น ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ผ่อนทุกอย่างที่ผ่อนได้ จนไม่มีเงินเหลือเก็บ การจัดระเบียบควบคุมรายจ่ายของเราในแต่ละเดือนจึงเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญว่าในแต่ละเดือนนั้น เรามีรายได้เท่าไหร่ และสิ่งใดที่ยังไม่จำเป็นก็ยังไม่ควรที่จะนำมาเพิ่มภาระให้กับตนเอง โดยเฉพาะการกู้สินเชื่อต่างๆ เพราะการขอสินเชื่อต่างๆ ผู้ขอสินเชื่อมีหน้าที่ต้องชำระคืนในแต่ละเดือนที่เท่าๆกัน แน่นอนว่าภาระที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้เราต้องหักค่าสินเชื่อหลายเดือนออกไปส่วนหนึ่ง แต่ถ้าการหักออกเป็นค่าผ่อนชำระต่างๆจนเราไม่สามารถที่จะออมได้ นั้นกำลังส่งผลต่อสุขภาพทางการเงินของคุณอย่างแน่นอน ดังนั้นหากคุณต้องขอสินเชื่อหรือผ่อนอะไรก็ตาม ควรอยู่บนพื้นฐานที่เงินเดือนของคุณจะมีเหลือเพียงพอสำหรับค่าใช่จ่ายในแต่ละวันและเหลือเงินเก็บออมด้วย อย่าผ่อนจนไม่เหลือเก็บ
เงินเฟ้อ
อุปสรรคนี้เป็นสิ่งที่สร้างปัญหาต่อการออมอย่างมาก ด้วยราคาสินค้าอุปโภคบริโภคต่างขึ้นราคา ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายของเรานั้นเพิ่มขึ้น และทำให้เรามีเงินเหลือเก็บที่น้อยลง แต่หากย้อนกลับข้างต้น ถ้าเรามีเป้าว่าแต่ละเดือนจะเก็บทุกเดือนในจำนวนเงินที่เท่าๆกัน ก็จะไม่ส่งผลกระทบ เพียงแต่คุณอาจจะต้องเลือกซื้อสินค้าหรือบริโภคทดแทนที่มีราคาถูกกว่า
รักสบาย
หลายคนที่เริ่มต้นออมมักจะพบว่าตนเองรู้สึกอัดอัด ใช้จ่ายไม่คล่องมือเหมือนแต่ก่อน จึงเลิกที่จะออม แต่จะใช้จ่ายอย่างเต็มที่ เหลือแล้วค่อยเก็บละกัน เช่น วันนี้ตั้งใจจะงดกาแฟ พอเดินผ่านหน้าร้าน ก็บอกตัวเองว่าไม่เป็นไรซื้อกินวันนี้ เดี่ยวพรุ่งนี้ค่อยงดละกัน นี้คือปัญหาหลักของผู้ที่เริ่มต้นออม ที่ยังคงติดนิสัยความเคยชินเดิมๆอยู่
จากที่กล่าวมาทั้งหมด ล้วนแล้วเป็นอุปสรรคที่ส่งผลต่อการออมของเราอย่างโดยตรง แต่ที่กล่าวมาไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องกระมิดกระเมี่ยนใช้จ่ายจนไม่หาความสุขให้ตนเองเลย แต่การจะหาความสุขหรือซื้อสิ่งที่เราอยากจะได้ ก็สามารถที่จะทำได้ แต่ต้องเป็นเงินที่คุณได้หักออกมาเป็นอีกส่วนหนึ่งสำหรับค่าบันเทิงส่วนตัว การออมที่ดีที่สุด คุณจะต้องแบ่งเงินออกมาอย่างชัดเจนเป็นกองเช่น กองที่ 1 ค่าใช้จ่ายประจำวัน กองที่ 2 ค่าใช้จ่ายภายในครัวเรือน กองที่ 3 ค่าบันเทิงหาความสุข กองที่ 4 เก็บออม เป็นต้น หากคุณมีการจดระเบียบแบบแผนเป็นอย่างดี การออมของคุณจะเกิดประโยชน์และออกผลในที่สุด
นอกเหนือจากการออมแบบปรกติแล้ว หากการออมจะเกิดดอกออกผล คุณก็ต้องนำเงินออมไปลงทุนเพื่อให้ผลงอกเงยออกมาด้วย ซึ่งผู้เขียนได้เคยเขียนถึงวิธีการออมในปี 2558 จะช่วยให้ผู้อ่านมองเห็นทิศทางว่าการออมอย่างไรจึงเกิดผลมากที่สุด
สามารถไปอ่านต่อกันได้ >> ทิศทางการออมปี 2558 <<