สารพัด สารพัน เรื่องราวที่เรา ๆ ต่างก็ดิ้นรนหาเงินมาเพื่อจับจ่ายใช้สอย บางครั้งก็ใช้จ่ายไปเพื่อตนเอง และ บางครั้งก็เป็นการใช้จ่ายเพื่อความสะดวกสบายของทุกคนในครอบครัว แต่ละคนแต่ละครอบครัวก็มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินแตกต่างกันออกไปค่ะ บางเรื่องของการใช้จ่ายนั้นอาจจะรอได้ และบางเรื่องก็เร่งด่วนรอนานไปก็ไม่ดี จุดนี้นี่เองที่ทำให้บรรดาสถาบันการเงินต่าง ๆพากันออกรูปแบบสินเชื่อสารพัดสารพันมาให้ตรงกับความต้องการที่ต่างกันออกไปของคนเราค่ะ
ดังนั้น ก่อนที่คุณ ๆ จะตกลงปลงใจเลือกกู้สินเชื่อใด ๆ จากสถาบันการเงินไหนก็ตาม เรามีข้อควรรู้เกี่ยวกับเรื่องการกู้เงินมาฝากเตือนใจเป็นเกร็ดความรู้กันไว้นิดหนึ่งด้วยค่ะ
เชื่อว่าคุณ ๆ บางท่านกำลังนั่งนึกนอนนึกอยู่ว่าเราควรจะขอสินเชื่อมากู้ซื้อบ้านก่อน หรือ จะขอ เงินกู้ มาซื้อรถก่อนดี บางคนที่ลังเลอยู่ก็คิดต่อกันไปว่า สินเชื่อบ้านนั้นก้อนใหญ่เป็นหลักล้าน กู้มาปุ๊บก็เป็นภาระหนี้สินต่อไปอีกหลายสิบปีแล้วทีนี้เราจะไปขอสินเชื่ออะไรได้อีก แถมหนี้ก็เป็นหนี้ระยะยาวด้วยสิ ถ้ากู้ซื้อรถก่อนเงินก้อนจำนวนหลักแสน ความเป็นไปได้ที่จะอนุมัติก็น่าจะสูงกว่า แล้วจากนั้นก็ผ่อนรถต่อไปอีกประมาณ 5 – 7 ปี ก็ปลอดภาระหนี้ ส่วน เงินกู้ ซื้อบ้าน ธนาคารก็น่าจะอนุมัติให้ง่ายขึ้น ที่คุณคิดมันจะใช่มั๊ยนะ?
ขอบอกตรงนี้เลยค่ะว่าคุณกำลังเข้าใจผิด เพราะในมุมมองของผู้ให้กู้หรือสถาบันการเงินนั้น หากคุณกู้เงินมาซื้อรถก่อนซื้อบ้าน สถาบันการเงินต่าง ๆ ก็จะมองว่าคุณมีภาระหนี้เดิมอยู่แล้วและจะพิจารณาว่าคุณมีสภาพคล่องทางการเงินน้อยลง ก็ทำให้โอกาสที่จะให้วงเงินกู้ซื้อบ้านนั้นลดน้อยลงไปค่ะ ส่วนการกู้ซื้อบ้านนั้น ถ้าคุณผ่านการทำงานมาอย่างน้อย 2 ปีคุณก็มีสิทธิ์ได้อนุมัติวงเงินซื้อบ้านแล้วค่ะ และดอกเบี้ยเงินกู้บ้านนั้นคุณยังสามารถนำไปขอลดหย่อนภาษีเป็นเงินกลับมาให้อีกด้วย ส่วนรถยนต์นั้น แม้ระยะผ่อนชำระหนี้จะสั้นกว่า แต่มูลค่าของรถยนต์ก็จะเสื่อมสภาพราคาลงไปตามอายุรถด้วยนะคะ อย่าลืม ทีนี้ คุณจะซื้อบ้าน หรือ รถ ก่อนดีกว่ากัน คำถามนี้คงตอบได้ไม่ยากแล้วนะคะ
สำหรับคุณ ๆ ที่มีหนี้ค้างชำระบัตรเครดิตอยู่นั้น ก็อย่าได้ชะล่าใจไปว่า ถ้าคุณไม่รับสายและไม่สนใจเงินค้างชำระก้อนนั้นซะอย่าง ใครจะทำอะไรคุณได้ ขอให้คุณรับรู้ไว้เลยค่ะว่า การที่คุณไม่ยอมไปจ่ายเงินที่ค้างอยู่นั้น แล้วถ้าคุณมีบัญชีเงินฝากอยู่กับธนาคารเจ้าของบัตรหล่ะก็ ธนาคารเขาก็มีสิทธิหักเงินจากบัญชีเงินฝากของคุณมาเป็นเงินชำระหนี้บัตรเครดิตได้นะคะ
แต่ทางสถาบันการเงินเขาจะต้องแจ้งคุณไว้ก่อน ซึ่งเขาก็อาจจะแจ้งคุณด้วยวิธีทางไหนก็ได้ หรือ อาจจะแจ้งคุณในลักษณะเงือนไขและข้อตกลงการใช้บัตรเครดิตของเขาตั้งแต่แรก ๆ ซึ่งก็ไม่มีความจำเป็นต้องให้คุณเซ็นยินยอมก่อนด้วยนะคะ ดังนั้นถ้ามีหนี้ค้างชำระก็อย่าคิดหนีหน้า หนีปัญหาเลยค่ะ หันไปเจรจากับทางธนาคารเขาว่าคุณสะดวกผ่อนจ่ายได้เท่าไร และอยากจะให้แบ่งเป็นกี่งวด หรือไม่ก็ขอให้เขาช่วยจัดอัตราดอกเบี้ยคงที่ วิธีนี้ น่าจะเป็นระโยชน์มากกว่าแล้วก็ไม่ทำให้คุณ ๆ เสียเครดิตด้วยนะคะ ยืมเงินเขามาใช้ก็ต้องจ่ายคืนเขาสิค่ะ จริงมั๊ยค่ะ
ส่วนคุณ ๆ ที่กำลังทำงานตามกระแสตอนนี้คือ อาจจะรับงานแบบฟรีแลนซ์ ทำให้คุณไม่มีสลิปเงินเดือน หรือ statement เหมือนพนักงานบริษัท, พนักงานกินเงินเดือน, หรือ เจ้าของกิจการ จึงไม่รู้จะไปยื่นขอกู้เงินในระบบธนาคารอย่างไรดี ขอให้คุณ ๆ รับรู้โดยทั่วกัน ณ จุดนี้ว่า ถึงคุณ ๆ ฟรีแลนซ์, แม่ค้าพ่อขาย หรือ ผู้ประกอบอาชีพอิสระใด ๆ ก็ตามค่ะ ว่าคุณสามารถขอสินเชื่อจากธนาคารได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าคุณต้องรู้จักทำตัวให้เป็นที่รู้จัก, ให้คุณมีโปรไฟล์ด้านการออมมาแสดงให้ทางธนาคารเขาพิจารณาได้เท่านั้นเองค่ะ สิ่งที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินจะดูไม่ใช่หน้าสมุดบัญชีหรอกนะคะ แต่เป็นความมีวินัยทางการออมเงินของคุณต่างหากค่ะ ดังนั้น คุณ ๆ ฟรีแลนซ์สามารถขอกู้ได้โดยหมั่นฝากเงินเป็นประจำสม่ำเสมอ ก็จะทำให้ทางสถาบันการเงินมีความเชื่อมั่นในสภาพการเงินและรายได้ของคุณค่ะ เรื่องโอกาสที่จะอนุมัติวงเงินนั้นก็คงไม่ยากเกินไปแน่ ๆ ค่ะ เครดิตดีสร้างได้ด้วยวินัยการเงินในตัวคุณเองนะคะ
และถ้าคุณ ๆ มีความสงสัยว่าคุณเองก็มีเครดิตทางการเงินที่ดี แต่ทำไมบางสถาบันการเงินถึงไม่อนุมัติสินเชื่อให้คุณนั้น คุณก็ไม่ต้องมามัวยืนงง ๆ โทษฟ้าโทษดิน หรือ ปล่อยให้คำถามนี้มันค้างคาใจอยู่อย่างนั้นหรอกนะคะ เพราะจริง ๆ แล้วคุณเองก็สามารถยื่นขอคำชี้แจงจากสถาบันการเงินนั้น ๆ ได้ค่ะว่าทำไมถึงไม่อนุมัติให้คุณ ข้อนี้ทางสถาบันการเงินเขาต้องอธิบายค่ะเพราะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยนะคะ และเมื่อมีการร้องขอคำชี้แจงไป ทางสถาบันการเงินก็จะส่งคำชี้แจงกลับมาให้คุณเป็นลายลักษณ์อักษรด้วยค่ะ จะได้เคลียร์ ๆ นะคะ