นาทีนี้ ทุกคนต่างก็ทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต และทุกคนก็ล้วนแต่จบปริญญากันมาทำงานเป็นพนักงานกินเงินเดือนกันทั้งนั้น จนบางครั้งก็อดนึกอดคิดสงสัยไม่ได้ว่าคนที่เขาอยู่บ้านหลังใหญ่ ๆ โต ๆ หรือ บางทีเวลารถติด ๆ แล้วเห็นป้ายโฆษณาบ้านใหม่ราคาเริ่มต้นเพียง 49 ล้านบ้าน หรือบางหลังที่ขนาดย่อมลงมาสักหน่อยก็ราคาเฉียดสิบล้านบ้านเข้าไปแล้ว เห็นทีไรเป็นต้องขยี้ตาเบา ๆ ต่อด้วยกระพริบตาถี่ ๆ อีกหลายครั้ง เพื่ออ่านให้แน่ใจว่าไม่ได้ลืมใส่จุดหน้าเลข 9 ใช่หรือเปล่า บ้านราคาหลังละ 49 ล้านบาท
โอ้ว…พ่อเจ้าแม่เจ้า เราต้องทำงานทำมาหากินด้วยอะไรกันนะถึงจะมีเงินเหลือมาซื้อบ้านหลังงามแบบนั้นให้พ่อแม่ได้พักผ่อน ใช่แล้วค่ะ เพราะเราทุกคนล้วนมีความฝันและบ้านหลังใหญ่มีบริเวณสนามก็เป็นหนึ่งในความฝันของใครหลาย ๆ คนที่ต่างก็อยากจะจับต้องกันทั้งนั้น และทุกความฝันสามารถเริ่มได้ด้วยการออมเงินให้เป็นค่ะ
เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า เงินเป็นสิ่งที่จะช่วยสร้างรากฐานให้มั่นคง และการออมก็คือดินและทรายที่นำมาซึ่งเสาอาคารที่มั่นคงของความฝันค่ะ เพราะเมื่อเราสามารถออมเงินได้อย่างเหมาะสมไม่ตรึงมากเกินไป หรือ หละหลวมจนเกินไป เราต่างก็จะมีเงินเหลือพอใช้จ่ายได้สบาย ๆ ค่ะ กลเม็ดที่จะทำให้คุณมีเงินเหลือเก็บก็คือ เรามานับหนึ่งกันที่ดอกเบี้ยธนาคารค่ะ เพราะทุกวันนี้เราต่างก็รู้กันดีว่า เราควรจะออมเงินฝากไว้กับธนาคารเพื่อที่จะได้ดอกเบี้ยมาเชยชมให้ชื่นใจ
แต่คุณ ๆ ที่ฝากเงินไว้กับธนาคารอยู่นั้น คุณเคยลองเช็คกันบ้างหรือเปล่าว่าธนาคารที่คุณนำเงินไปฝากไว้เป็นประจำนั้น เขาให้ดอกเบี้ยคุณอยู่เท่าไร ดังนั้นเพื่อให้การออมในวันนี้คือกำไรและดอกผลในวันข้างหน้า คุณจึงควรตรวจเช็คดอกเบี้ยของแต่ละธนาคารด้วยค่ะ และคุณจะได้เลือกฝากกับธนาคารที่ให้อัตราดอกเบี้ยดีที่สุดค่ะ
มาต่อกันที่นับสอง ว่าด้วยเรื่อง เปลี่ยนแร่เป็นเงิน หรือก็คือ ขายข้าวของต่าง ๆ ที่เราไม่ได้ใช้แล้วให้เป็นเงิน นั่นเองค่ะ หากคุณได้ลองไปรื้อในตู้เสื้อผ้าของคุณดูสิคะ เชื่อเลยว่า ต้องมีเสื้อผ้า, กระเป๋า, เนคไท หรือ สูท ที่สภาพดี ๆ แต่คุณไม่ได้ใส่แล้วอยู่แน่นตู้ หรือไม่อย่างนั้น คุณอาจจะลองเปิดห้องเก็บของออกมาดูสิค่ะ คุณจะเจอขุมทรัพย์ในบ้านของคุณเอง ไม่ว่าจะเป็นหม้อหุงข้าวที่ได้ตอนจับฉลากปีใหม่เมื่อ 3 ปีก่อน, เครื่องทำแซนวิชตอนสมัครบัตรเครดิต หรือ ชุดเครื่องนอนตอนเล่นบัดดี้กับเพื่อน ๆ ถ้ามันถูกซุกในลืบใต้ห้องเก็บของมานานกว่า 3 ปี สิ่งของนั้นคือของที่ไม่จำเป็นอะไรต่อคุณ และคุณก็ไม่ได้ใช้มันเลยด้วยค่ะ เพราะฉะนั้น นำเอาไปขายเป็นของมือสองได้เงินเฉิบ ๆ ดีกว่าค่ะ จะไปจองล็อตขายของตามห้างสรรพสินค้าแถวบ้าน หรือ ถ้าสะดวกขึ้นมาหน่อยก็ใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปของเหล่านั้น แล้วก็อัพขึ้นในหน้าเว็บที่เขาขายของมือสองกัน ก็นั่งรอคนมาเลือกซื้อแล้วตังค์ก็จะไหลมาอย่างสบาย ๆ ค่ะ คุณก็นำไปออมเป็นรายได้อีกทางนะคะ
ถัดมาที่ข้อสามก็คือ ลดค่าใช้จ่ายจากการกินอาหารนอกบ้านให้น้อยที่สุด เพราะอะไรหน่ะเหรอคะ เพราะว่าการที่คุณทานอาหารนอกบ้านหนึ่งมื้อจะเกิดค่าใช้จ่ายอะไรบ้างเอ่ย เริ่มตั้งแต่ค่าน้ำมัน หรือ ค่าเดินทางจากบ้านออกไปที่ร้าน, ค่าที่จอดรถสำหรับบางร้าน, ค่าอาหาร, ค่าน้ำแข็ง, ค่าน้ำดื่ม, ค่าบริการ และ ค่า vat 7% อีกต่างหาก เทียบกับการไปซื้อของสดที่ตลาดปากซอยมาปรุงทำกินกันเองแล้ว เงินเหลือ ๆ กว่าเยอะแน่นอนค่ะ แล้วคุณก็สามารถนำข้าวและกับข้าวต่าง ๆ ที่คุณทำใส่กล่องใส่ปิ่นโตไปกินเป็นมื้อกลางวันที่ทำงานได้อีกด้วยนะคะ เริ่ดอ่ะ เพราะอาหารที่เราปรุงเอง แน่นอนว่าต้องสะอาด, ไม่มีผงชูรสมากไป และ ไม่ใช้น้ำมันซ้ำไปมาด้วย ดังนั้นได้ประโยชน์ต่อสุขภาพเพิ่มเข้าไปอีกนะคะ หรือถ้าอยากให้การกินอาหารปิ่นโตสนุกมากขึ้น ก็ชักชวนเพื่อน ๆ หิ้วกับข้าวอาหารกล่องที่แต่ละคนทำกันเอง มาแบ่งกันในมื้อเที่ยง ประชันฝีมือกันหน่อย เพิ่มอรรถรสการกิน, ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ แล้วยังประหยัดเงินกว่าเดิมอีก ไม่จัดไปคงไม่ได้แล้วหล่ะค่ะ
ส่วนข้อที่ 4 นั่นก็คือ นำเงินติดตัวมาแค่พอใช้สอย เพราะเมื่อไรก็ตามที่คุณมีเงินติดในกระเป๋ามาก ๆ ก็จะทำให้คุณควักออกใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น เห็นอะไรที่ชอบโดนใจขึ้นมาก็จับจ่ายได้ทันที ทำให้เวลาจะคิดจะตัดสินใจซื้ออะไรก็จ่ายออกไปอย่างไว เพราะเงินอยู่ในมือ แต่ถ้าคุณเตรียมเงินไปนิดหน่อย ขบวนการยับยั้งชั่งใจก็จะทำงาน คุณก็จะเลือกว่าอะไรจำเป็นอะไรไม่จำเป็น และเท่ากับเป็นการชะลอการใช้เงินของคุณออกไปค่ะ และถ้าจะให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นหล่ะก็ ปล่อยบัตรเครดิตนอกพักอยู่ที่บ้านไปเลยค่ะ จะได้ไม่ไปเผลอรูดปรื้ดรูดเพลินจนหนี้บานขึ้นมาค่ะ ใคร อยากรวย ขอให้ยกมือขึ้น แล้วทำตามกันด้วยนะคะ