คุณว่าในตอนนี้นั้นคนไทยส่วนใหญ่เป็นหนี้สินของอะไรมากกว่ากัน ถ้าหากมาถามคำถามนี้เมื่อสัก 10 ก่อนก็เชื่อว่าหลายๆคนอาจจะตอบว่าเป็นหนี้สินนอกระบบกันบ้าง แต่ถ้ามาถามในสมัยนี้เชื่อได้เลยว่าหนี้สินนั้นจะเข้ามาเป็นหนี้สินในระบบเกือบทั้งหมดแล้ว ซึ่งหนี้สินในระบบนี้จะถูกกำหนดดอกเบี้ยให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งเอื้อต่อการชำระหนี้สินให้หมดไปได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
แต่ทำไมปัญหาหนี้สินของคนไทยนั้นถึงมากขึ้นเรื่อยๆกัน บ้างก็เกิดจาการกู้ยืมเงินที่มากเกินไปดูจากกรณีที่เป็นข่าวดังอยู่ในตอนนี้ เรื่องของการปล่อยเงินกู้ให้ตำรวจมากเกินไปจนเกินการฟ้องล้มละลายกัน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ผู้กู้เงินไม่สามารถชำระหนี้ได้ จนเรื่องมาถึงตัวผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นผู้ที่ถูกฟ้องล้มละลายนั่นเอง
ในวันนี้เราจึงเรื่องราวของการลด ดอกเบี้ยบัตรเครดิต หรือสินเชื่อต่างๆมากฝากกัน เพราะเชื่อได้เลยว่าเรานั้นล้วนแล้วแต่มีหนี้สินในกลุ่มนี้กันทั้งนั้น หรือถ้าไม่มีก็อาจจะมีได้ในอนาคตดังนั้นศึกษาไว้ก่อนไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ตัวอย่างหนี้สินพวกนี้ เช่น หนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หนี้กู้ยืมซื้อบ้าน หรือหนี้บัตรเครดิต เป็นต้นและวิธีการลดดอกเบี้ยบัตรเครดิตหรือสินเชื่ออย่างไรให้ได้ผลมีดังนี้
1. จ่ายเต็มจำนวนหนี้ที่เขากำหนดมา
ปกติแล้วเวลาที่เราได้รับบิลเรียกเก็บหนี้พวกหนี้เขาก็จะให้มา 2 จำนวนนั่นคือ เงินที่ต้องขำระในงวดนั้น และจำนวนเงินที่สามารถจ่ายได้ในขั้นต่ำ(บางบริษัทจะโทรมาแจ้ง) ซึ่งเราไม่แนะนำให้จ่ายในจำนวนเงินที่สามารถจ่ายได้ในขั้นต่ำ เพราะเงินส่วนที่เรายังไม่ได้จ่ายนั้นจากยอดเต็มนั้นจะถูกคิดดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ ที่นี้หนี้สินของเราก็มากขึ้นเรื่อยๆไม่จบสักที ดังนั้นทางเลือกเพื่อจบหนี้คือการจ่ายจ่ายเต็มจำนวนหนี้ที่เขากำหนดมาในบิลหรือมากกว่านั่นเอง
2. ชำระหนี้ไปเรื่อยๆ
แน่นอนว่าการกู้เงินหรือใช้บัตรเครดิตไปนั้นดอกเบี้ยของบัตรเครดิตหรือสินเชื่อเหล่านี้มันจะเดินต่อไปเรื่อยๆ ถ้าหากเราไม่ชำระหนี้เลยดอกเบี้ยก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราต้องชำระหนี้ให้หมดเร็วที่สุด ไม่ใช่แค่จ่ายเต็มจำนวนอย่างเดียวเพราะถึงจ่ายแต่ไม่สม่ำเสมอทุกเดือนดอกเบี้ยก็จะเพิ่มขึ้นมานั่นเอง ดังนั้นเราจึงต้องทำทั้งการจ่ายเต็มจำนวนหนี้ที่เขากำหนดและจ่ายสม่ำเสมอทุกเดือน เพื่อลดเงินต้นและดอกเบี้ยนั่นเอง
3. หยุดสร้างหนี้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อ เปลี่ยนมาซื้อเงินสดแทน
เหตุผลของคำแนะนำในข้อนี้ก็ตรงไปตรงมาเลย เพราะการใช้จ่ายด้วยเงินสดไม่มีดอกเบี้ย ไม่มีหนี้สินคั่งค้างให้กวนใจ แถมเรายังสามารถกำหนดรายจ่ายของเราได้อย่างชัดเจนด้วย เพราะเราเห็นได้ว่าเงินมันหายไปจริงๆ ณ ตอนที่ใช้เลย เราก็จะสามารถลดปริมาณการใช้เงินของเราลงได้นั่นเอง แถมไม่การสร้างหนี้สินเข้าไปในตัวบัตรเครดิตหรือสินเชื่อ
4. เริ่มทำบัญชีรายรับรายจ่ายของตนเอง
บางครั้งเราเริ่มทำมาตั้งแต่ข้อ 1-3 แล้วก็พบกับปัญหาใหม่คือ เงินไม่พอใช้ ซึ่งนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาที่เราต้องไปกู้หนี้ยืมสินหรือสมัครบัตรเครดิตมาเพื่อใช้จ่ายนั่นเอง ดังนั้นวิธีการที่จะช่วยให้เรามองเห็นปัญหาได้ดีก็คือการเริ่มทำบัญชีรายรับรายจ่ายของตนเองนั่นเอง ว่าปัญหามันอยู่ที่เราใช้จ่ายมากเกินไป หรือรายรับของไม่พอจริงๆ เพื่อที่เราจะได้หาแนวทางแก้ไขและป้องกันปัญหาต่อไป เช่น ถ้าปัญหาเกิดจากการที่เราใช้จ่ายมากเกินไป ก็อาจจะต้องดูในบัญชีรายรับรายจ่ายของตนเองว่ารายจ่ายใดที่ตัดออกได้บ้างเพื่อให้เหลือเงินมากขึ้น เป็นต้น
5. วางแผนการใช้เงิน
ข้อนี้จะต่อเนื่องมากจากการเริ่มทำบัญชีรายรับรายจ่ายของตนเองเลย เพราะเราบอกแล้วว่าเมื่อเราทำบัญชีรายรับรายจ่ายของตนเอง เราจะสามารถเห็นปัญหาได้ชัดเจนมากขึ้นว่าปัญหาหนี้สินจากเงินไม่พอใช้นั้นมันเริ่มมาจากตรงไหน ทีนี้พอเราแก้ไขปัญหาเหล่านั้นเรียบร้อยแล้ว เราก็ต้องวงแผนการเงินเพื่ออนาคต ไม่ว่าจะเป็นเงินที่จะใช้ในการกินอยู่ทั้งเดือน หรืออเงินที่เราจะเก็บไว้ให้บุตรหลาน และเงินที่จะเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น ซึ่งเราต้องตั้งเป้าไว้ให้ชัดเจนว่าจะแบ่งเงินเข้าไปในส่วนเหล่านี้ได้เท่าไหร่บ้าง
6. มีวินัยในการใช้เงิน
สำหรับเรื่องวินัยในการใช้เงิน ในเบื้องต้นนั้นเราแนะนำว่าแค่พยายามทำตั้งแต่ข้อ 1 มาจนถึงข้อ 5 ได้อย่างสม่ำเสมอก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว และทำไปเรื่อยๆจนกว่าหนี้สินและดอกเบี้ยของบัตรเครดิตหรือสินเชื่อต่างๆจะหมด แล้วจะได้เริ่มเข้าสู่การวางแผนเพื่อการลงทุนและการออมเงินต่อไปในอนาคตนั่นเอง
แม้ว่าในช่วงแรกนั้นการทำตามวิธีการเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเต็มจำนวนที่เขากำหนดมาให้ และชำระหนี้อย่างสม่ำเสมอ การเริ่มทำบัญชีรายรับรายจ่ายของตนเอง การเริ่มวางแผนการใช้เงิน ตลอดจนไปถึงการฝึกวินัยในการใช้เงินนั้นอาจจะทำได้ยากในช่วงแรก เนื่องจากต้องมีความตั้งใจและมุ่งมั่นมากพอ แต่เมื่อผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้ เราก็จะได้มีความสุขที่แท้จริงจากการมีอิสระทางการเงิน อย่างที่หลายๆคนกล่าวไว้ว่า “การไม่เป็นหนี้ถือเป็นลาภอันประเสริฐนั่นเอง” และใครอยากจะตั้งตัวจริงๆจังๆก็ต้องมาหลังจากนี้กันนี่เอง