มีคำกล่าวอย่างตลกร้ายว่า “ชีวิตของเรามันมีค่ามาก คุณค่าเหรอ ไม่ใช่หรอก ค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ารถ ค่าเดินทาง และอีกสารพัดค่า” แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายต่างๆเหล่านี้ หากเรากำกับและจัดการมันได้ เราก็จะมีเงินเหลือเก็บหรือเอาไปใช้อย่างอื่นด้วย ว่าแต่ในชีวิตมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆท่านๆ มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่ทำให้เราเงินหมดกระเป๋าไปแบบไม่รู้ตัว ลองหยิบบิลแล้วมาสำรวจตัวเองกันเลยดีกว่า
ค่าโทรศัพท์มือถือ
ค่าใช้จ่ายกลุ่มแรกที่เราขอยกว่า จ่ายกันเยอะที่สุดนั่นก็คือ ค่าโทรศัพท์มือถือที่ถึงแม้ว่าเราจะไม่ค่อยได้โทรหากันเท่าไร เนื่องจากติดต่อทางช่องทางอื่นแทนไม่ว่าจะเป็น ไลน์ หรือ เฟส แต่เอาเข้าจริง ค่าโทรศัพท์สมัยนี้ที่จ่ายกันแพงๆก็คงเป็นค่ามือถือ นั่นเองยิ่งถ้าใครเป็นคนติดเนตมากๆ 1.5 กิ๊ก คงจะไม่พอแน่นอน อย่างต่ำก็ต้องเป็น 10 กิ๊กนั่นแหละถึงจะพอ ซึ่งค่าเนตก็จะอยู่ที่ไม่เกิน 500 บาท หากใช้แล้วไม่พอก็ต้องซื้อเพิ่มอีก 200-300 บาท หรือใครที่ติดหนักจริงๆ ก็ต้องแพ็คเกจราคาหลักพันโน่นเลย ถึงจะพอ ดังนั้นถ้าอยากเหลือเงินในกระเป๋า ลองลดการเล่นเนตมือถือลง น่าจะช่วยได้ ถ้าไม่รู้จะทำอะไร เราขอแนะนำให้หาหนังสือมาอ่าน ช่วยได้
ค่าเดินทาง
ค่าใช้จ่ายตัวที่สองที่อาจจะมองไม่เห็น แต่พอเอามารวมกันถือว่าเยอะทีเดียว นั่นก็คือ ค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทาง แน่นอนว่าหากเป็นการเดินทางสายหลักอย่าง รถBTS หรือ รถMRT ก็ถือว่าสมควรอยู่เพราะรวดเร็ว ซื้อเวลา และปลอดภัย แต่ค่าใช้จ่ายเดินทางที่แฝงอยู่ก็คือ ค่าเดินทางอื่น เช่น ค่าพี่วินมอเตอร์ไซค์ ค่าแท็กซี่ เป็นต้น ซึ่งค่าเหล่านี้แหละที่ต้องบอกว่าดูดเงินในกระเป๋าเยอะเลย ตัวอย่างเช่น หากเรานั่งพี่วินไปขึ้น BTS เที่ยวละ 20 บาท ไปกลับก็ 40 บาทต่อวัน เดือนหนึ่งทำงาน 20 วัน รวมแล้วเป็นเงิน 800 บาท ยังไม่นับรวมเสาร์ อาทิตย์ที่จะต้องไปไหนมาไหนด้วยนะ สรุปว่า เดือนหนึ่งจ่ายให้พี่วินไป 1,000 บาท เงินจำนวนนี้เอาไปกินบุฟเฟ่ต์อิ่มๆได้มื้อหนึ่งเลยนะ ถ้าระยะทางไม่ไกลเกินไปยอมเดินสักหน่อยเพื่อคิดซะว่าออกกำลังกาย ก็จะลดเงินไปได้เยอะ หรือถ้ารีบจริงๆ นั่งพี่วินเฉพาะตอนเช้าก็ได้
ค่ากาแฟ และเครื่องดื่ม
มนุษย์เงินเดือน มนุษย์ออฟฟิศ เชื่อว่าหลายคนหรือเกือบทุกคนต้องกินกาแฟ ซึ่งบางครั้งก็ไม่รู้ว่ากินไปทำไม เหมือนกัน บางคนบอกว่ากินแล้วมันสดชื่นดี กลางคืนนอนดึก แต่ถามว่าทำไมนอนดึก บอกดูละครอยู่ งั้นก็เลิกดูละครและนอนสิ จะได้นอนเต็มอิ่มแล้วจะได้ไม่ต้องกินกาแฟ แต่เอาเข้าจริงก็กินเหมือนเดิม ทีนี้ค่ากาแฟนี่แหละตัวดูดเงินของจริง กาแฟถุงละ 20-25 ขั้นต่ำเดือนหนึ่งกินทุกวัน ก็จะคิดเป็นเงิน 20*25 = 500 บาทแล้ว แต่ถ้าใครกินกาแฟพรีเมี่ยมอย่างสตาร์บัค ต่ำสุดก็แก้วละ 100 บาท ถ้ากินสัก 20 แก้ว ก็เป็นเงิน 2,000 บาทแล้วเห็นไหม เงินหายไปเห็นๆตั้งสองพัน เรื่องนี้ถ้าอยากประหยัดแนะนำว่าควรพกกาแฟซองแบบ 3in1 ไปชงกินที่ทำงานดีกว่า ประหยัดกว่าเยอะ (เนสกาแฟ 60 ซอง 190 บาท เดือนหนึ่งกินหมดพอดี)
ค่าแฟชั่นและเครื่องแต่งกาย
ค่าใช้จ่ายตัวต่อไปก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ดูดกระเป๋ามากนั่นก็คือ เรื่องของค่าแฟชั่นเครื่องแต่งกาย และครีมต่างๆ โดยเฉพาะผู้หญิงที่เราเองก็เข้าใจว่า ผู้หญิง อย่าหยุดสวย เครื่องสำอาง ครีมแบบไหน ใครว่าดี เป็นได้ลองซื้อหามาใช้ ซึ่งเราก็คงไม่ได้ห้ามซื้อ แต่มันควรจะเป็นการซื้อที่มีสติประกอบด้วยนั่นคือ คิดมาแล้วอย่างรอบคอบว่า สมควรซื้อ(ของเก่าหมดพอดี) หรือชุดต้องมีไว้เพื่อตามกาลเทศะ อย่างเช่น ชุดดำที่ต้องใส่ตลอดปี ถ้ามีไม่พออย่างนี้ก็ต้องซื้อ แต่ถ้าหากว่าเราอยากซื้อเพราะอยากหล่อ อยากสวย ตามกระแสโดยไม่ดูตัวเราเองก่อน สุดท้ายค่าแฟชั่นเครื่องแต่งกาย และครีมเหล่านี้แหละจะทำให้เงินในกระเป๋าของเราหมดไปโดยไม่รู้ตัวกันเลย
ค่าใช้จ่ายด้านความบันเทิง
การหาความสุข ความบันเทิงให้กับตัวเองก็เป็นการผ่อนคลายความเครียดเหมือนกันซึ่งความบันเทิงสมัยนี้ก็มีค่าใช้จ่ายเหมือนกัน อย่างเช่น ไปดูหนังเรื่องหนึ่ง ค่าตั๋วก็อยู่ที่ 160 บาทต่อคนแล้ว หากมีเครื่องดื่มอย่างป๊อบคอร์นไปอีก 100 บาท รวมแล้วดูทีหนึ่งก็ 260 บาท ถ้าดูแบบสามมิติ หรือ iMax ก็ราคาอัพไปอีก แน่นอนว่าถ้านานๆดูทีก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นคอหนังดูมันทุกอาทิตย์ล่ะก็ เดือนหนึ่งก็ตก 4*260 = 1,040 บาทแล้ว(นี่ยังไม่รวมค่าเดินทาง กับค่ากินอาหารด้วยนะ) เราแนะนำว่าลองหาทางคลายเครียดอย่างอื่นก็ได้
ค่าสาธารณูปโภค+ของใช้ในบ้าน
ค่าใช้จ่ายสุดท้ายที่ทำให้เราเงินหมดไปโดยไม่รู้ตัวก็คือ เรื่องค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค และของใช้ภายในบ้าน ที่เราต้องซื้อและต้องจ่ายเป็นประจำไม่ว่าจะเป็น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าบ้าน ซึ่งค่าเช่าบ้านอาจจะลดได้ยาก แต่ค่าน้ำ ค่าไฟ ถ้าวางแผนดีๆ ก็จะลดได้มากเหมือนกัน ส่วนของใช้ในบ้าน ถ้าหากยึดติดกับยี่ห้อก็ไม่เป็นไร แต่หากไม่ยึดติดอะไร การดูราคาสินค้าช่วงลดแล้ววางแผนซื้อเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้นก็ช่วยลดเงินในกระเป๋าได้ แต่อย่าเผลอไปหยิบอันที่ไม่เกี่ยวมาล่ะ จากที่แนะนำมานี้ ลองหยิบบิลมาดูล่ะกันว่า อันไหนพอลดได้ก็ลด จะได้เหลือเงินในกระเป๋าเยอะๆ