สำหรับนักอ่านตัวยงที่อ่านหนังสือมามากมายหลายเล่มน่าจะมีความรู้สึกเดียวกันผู้เขียนก็คือ หนังสือที่เราได้อ่านมีทั้งหนังสือดีที่อ่านแล้วประโยชน์ หนังสือที่อ่านแล้วรู้สึกเฉย ๆ และหนังสือที่อ่านแล้วรู้สึกว่าถึงไม่ได้อ่านก็เหมือนกัน และมีหนังสืออีกประเภทหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกดีได้มาก เพราะเมื่ออ่านแล้วเรารู้สึกได้ถึงความคุ้มค่าที่ได้รับจากหนังสือ รู้สึกได้ว่าคนที่เขียนหนังสือเล่มนี้เขาต้องอ่านหนังสือและมีประสบการณ์มาอย่างมากมายจึงจะสามารถเขียนหนังสือเล่มนี้ออกมาได้ อ่านแล้วสนุก อยากติดตามต่อ วางไม่ลง เรียกว่าต้องอ่านรวดเดียวไปจนจบเล่มเลย
หนังสือเล่มล่าสุดที่ผู้เขียนมีโอกาสได้อ่านให้ความรู้สึกอย่างที่อธิบายมาข้างต้น หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า “อย่าปล่อยให้ใครฆ่าวาฬของคุณ” ตอนแรกที่เห็นหนังสือเล่มนี้ดูจากชื่อเข้าใจว่าเป็นหนังสือแปล แต่พอดูชื่อคนเขียนแล้วปรากฏว่าไม่ใช่ และหนังสือเล่มนี้ก็ตั้งอยู่บนชั้นในร้านหนังสือโดยมีป้ายติดไว้ว่าหนังสือขายดี ผู้เขียนเองก็นึกว่าคงจะเป็นการโปรโมทเหมือนกับหนังสือขายดีเล่มอื่น ๆ คงไม่มีอะไรแตกต่างกันมากนัก
แต่สุดท้ายผู้เขียนก็ตัดสินใจหยิบหนังสือเล่มนี้แล้วไปจ่ายเงิน ไม่น่าเชื่อว่าพอกลับมาบ้านเมื่อได้ลองเปิดอ่านหน้าแรก กลับวางไม่ลง ใครที่ชื่นชอบหนังสือที่คนเขียนนำประสบการณ์ตรงมาเล่าผสมผสานไปกับเรื่องราวอื่น ๆ ทั่วโลกที่น่าสนใจ เป็นแรงบันดาลใจ และตรงกับหัวข้อเรื่องที่กำลังนำเสนอ มันทำให้เรารู้สึกดีและได้อะไรมากมายจากการอ่านหนังสือเล่มนั้น
คนเขียนหนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า รวิศ หาญอุตสาหะ เป็นทายาทของแป้งหอมศรีจันทร์ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายในท้องตลาดมายาวนานมาก และเป็นคุณรวิศนี้เองที่ได้พลิกธุรกิจที่ส่งต่อมายังรุ่นของเขาให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปโฉมใหม่ที่เข้ากับคนยุคใหม่ได้สำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ ลองคิดดูว่าชีวิตของคนเขียนยังน่าสนใจขนาดนี้ แล้วเนื้อหาในหนังสือที่เขาเป็นคนเขียนจะน่าสนใจขนาดไหน
เนื้อหาในหนังสือถูกแบ่งออกเป็นบทย่อย ๆ เรียกว่า 36 วิธีคิดที่จะช่วยให้คุณพลิกกลับมาชนะคนที่เหนือกว่าในทุก ๆ ด้าน เดี๋ยวก่อนนะคะ สำหรับใครที่คิดว่ามันจะต้องน่าเบื่อ ไม่เป็นอย่างนั้นเลย เพราะการนำเสนอเนื้อหาของคุณรวิศนั้นแตกต่าง แต่ละวิธีคิดเขามีวิธีการเขียนเล่าเรื่องโดยสอดแทรกชีวิตของผู้คนที่อยู่รอบตัวเขา หรือชีวิตของบุคคลที่น่าสนใจที่เขาได้เคยสัมผัสหรืออ่านหนังสือมา นำมาเล่าเพื่อให้เข้ากับวิธีคิดแต่ละเรื่องที่เขานำเสนออยู่ และเขาทำได้ดีมาก เพราะการเล่าเรื่องที่น่าสนใจทำให้เราจดจำและเข้าใจอะไรได้ดีกว่าการมามัวแต่นั่งอธิบายคอนเซ็ปต์
ลองไปดูเนื้อหาบางตอนที่น่าสนใจกันค่ะ
คิดว่าตัวเองเป็นไม้ขีดไฟ โดยมากแล้วคนเรามักจะคิดว่าเราเป็นเพียงแค่คนธรรมดาจะไปทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร คุณรวิศได้เล่าเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า Johnny เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุ 19 ปีที่เป็นดาวน์ซินโดรม ทำงานเป็นพนักงานในซุปเปอร์มาร์เกต มีหน้าที่ในการจัดของเข้าถุงให้กับลูกค้าตรงแคชเชียร์ วันหนึ่งเขาได้เข้าร่วมฟังสัมมนาที่บริษัทจัดขึ้นในหัวข้อของการสร้างแรงบันดาลใจ โดยผู้บรรยายได้บอกไว้ว่า ไม่ว่าเราจะใครเราสามารถสร้างความแตกต่างและความทรงจำที่ดีให้กับลูกค้าได้
เมื่อ Johnny กลับบ้านก็มานั่งทบทวนแล้วก็คิดว่างานใส่ถุงของเขาจะสร้างความแตกต่างได้อย่างไร นั่งคิดอยู่หลายวันจนในที่สุดเขาก็เกิดไอเดียขึ้น เขาให้พ่อช่วยต่อคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตให้ หลังจากนั้นก็เข้าไปค้นหา thought of the day ที่เป็นคำคมหรือสุภาษิตที่โดน ๆ แล้วเขียนออกมาใส่ในกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ขนาดประมาณโพสต์อิท วันต่อมาในขณะที่เขาทำงานส่งถุงให้กับลูกค้า เขาก็จะแนบ thought of the day นั้นให้กับลูกค้าแต่ละคน พร้อมกับบอกว่า นี่เป็นคำคมประจำวันนี้ ขอบคุณที่มาใช้บริการกับเรา
เดือนต่อมาผู้จัดการร้านกำลังเดินตรวจความเรียบร้อยก็พบว่าแถวต่อคิวจ่ายเงินตรงช่องที่ Johnny ทำงานอยู่นั้นยาวกว่าแถวอื่น จึงรีบสั่งให้เปิดช่องแคชเชียร์เพิ่มทันที แต่ถึงแม้จะเปิดช่องเพิ่มแถวที่ Johnny ทำงานอยู่ก็ยาวเหมือนเดิม เพราะไม่มีลูกค้าคนไหนอยากจะย้ายหรือเปลี่ยนช่อง โดยเขาเหล่านั้นบอกว่าไม่เป็นไร ยินดีที่จะรอ เพราะอยากจะได้รับ thought of the day สำหรับวันนี้จาก Johnny
ลูกค้าคนหนึ่งบอกว่าปกติเธอจะไปซื้อของจากซุปเปอร์มาร์เกตใกล้บ้าน มาซื้อจากที่นี่บ้างแต่ตอนนี้เปลี่ยนมาซื้อที่นี่เป็นประจำ เพราะอยากจะได้ thought of the day สิ่งที่ Johnny ทำนั้นยังส่งผลไปยังแผนกอื่น ๆ ภายในซุปเปอร์มาร์เกต เมื่อเพื่อนร่วมงานคนอื่นทราบเรื่องราวที่ Johnny ทำ ก็เป็นแรงบันดาลใจให้แต่ละแผนกคิดอยากทำอะไรใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าบ้าง อย่างแผนกดอกไม้ที่ปกติจะทิ้งดอกไม้ที่คอหักไป แต่ตอนนี้พนักงานนำดอกไม้เหล่านั้นมาใส่เข็มกลัดและนำไปติดให้กับเด็ก ๆ
คุณรวิศได้เขียนปิดท้ายไว้สำหรับเรื่องนี้ว่า ถ้าอยากสร้างความเปลี่ยนแปลงในวันพรุ่งนี้ ก็จงมองตัวเองให้เป็นไม้ขีดไฟเสียตั้งแต่วันนี้เลย เราจะเกิดมาเป็นใครก็ไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่เรากำลังทำต่างหากที่จะเป็นการแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของตัวเราอย่างแท้จริง
นี่เป็นเพียงแค่ 1 วิธีคิดจาก 36 วิธีคิดที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้เท่านั้น เชื่อว่าอ่านแล้วทุกคนน่าจะรู้สึกเหมือนกันว่าช่างเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจจริง ๆ ในหนังสือเล่มนี้ยังมีเรื่องราวของคนที่เหมือนกับ Johnny อีกมากมายในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งเรื่องราวของพวกเขามีส่วนช่วยในการสร้างพลังและแรงบันดาลใจในการทำชีวิตของเราให้ดีจริง ๆ ค่ะ เดินเข้าร้านหนังสือครั้งหน้าอย่าลืมหยิบหนังสือเล่มนี้ติดกลับมาบ้านด้วยนะคะ รับรองว่าคุณจะไม่ผิดหวังค่ะ