หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ถือว่าเป็นมรดกชิ้นสำคัญประการหนึ่ง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ทรงประทานไว้ให้กับประชาชนทุกคนนำไปใช้เพื่อเป็นหลักในการดำเนินชีวิต แต่หลายคนที่ไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้อาจจะคิดไปว่าหลักการนี้มีไว้สำหรับคนที่ทำอาชีพเกษตรกรรมเท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่เลย หนุ่มสาวชาวออฟฟิศที่อยู่ในเมืองใหญ่ก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ และวันนี้เราจะมาแนะนำกันนั่นเองเอง
ทฤษฎี 3 ห่วง 2 เงื่อนไข
ก่อนอื่นเลยเราต้องมาทำความรู้จักและเข้าใจปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกันซะก่อน ว่ามีอะไรบ้าง แก่นแท้ของปรัชญาเรื่องนี้มีสองส่วนด้วยกันรวมเรียกว่า 3 ห่วง 2 เงื่อนไขอธิบายแบบง่ายได้ดังนี้
ห่วงที่ 1 ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดี ไม่มากเกินไปจนฟุ้งเฟ้อ หรือไม่น้อยเกินไปจนอดอยาก หรือลำบากตัวเองและคนรอบข้าง ทั้งในเรื่องของความต้องการ การบริโภค และการใช้เงินหรือทรัพยากรอื่นๆรอบตัว
ห่วงที่ 2 ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้เงิน หรือ ทรัพยากรของตัวเองนั้นจะต้องทำอย่างมีเหตุมีผล เราสามารถซื้อ กิน ดื่ม เที่ยว ได้ตามที่ต้องการ แต่มันต้องเกิดจากการตัดสินใจที่ถ้วนถี่ดีแล้ว สำคัญคือใช้เหตุผลในการตัดสินใจ ไม่ใช่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ
ห่วงที่ 3 มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี หมายถึง ความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจต่อการเปลี่ยนแปลงในเรื่องต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ได้คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ต้องมีสติประกอบกันด้วย เพราะหากขาดสติแล้วจะทำให้การตัดสินใจในการใช้ทรัพยากรในมือนั้นผิดพลาด จนเกิดปัญหาตามมาได้
เงื่อนไขที่ 1 ความรู้ หมายถึง ความรู้ทั้งในเรื่องของหลักวิชา ศาสตร์ต่างๆที่เอาไว้ใช้ทำมาหากิน และศาสตร์อื่นที่เกี่ยวข้อง
เงื่อนไขที่ 2 คุณธรรม หมายถึง หลักธรรมที่เรายึดไว้เพื่อดำเนินชีวิต เช่น ความซื่อสัตย์สุจริต อิทธิบาท 4 พรหมวิหาร 4 หรือหลักธรรมต่างๆ ซึ่งแล้วแต่ว่าเราจะเลือกหลักธรรมอะไรนำมาดำเนินชีวิตบ้าง
อ่านเพิ่มเติม : การใช้เงินตามแนวทางของเศรษฐกิจพอเพียง
จากที่อธิบายมาแบบคร่าวๆ จะเห็นว่าหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้น ไม่ได้หมายถึงคนกลุ่มใด กลุ่มหนึ่งเลย แต่หมายถึงทุกคน เราสามารถนำไปประยุกต์ปฏิบัติตามได้ ยิ่งปัจจุบันเป็นสังคมแห่งความรวดเร็ว ปลายนิ้วสัมผัสทำได้ทุกสิ่งด้วยแล้ว การน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ ย่อมเป็นการดีแต่ใช้ยังไง เราจะขอแนะนำดังนี้
การซื้อสินค้าผ่านโลกออนไลน์
เชื่อว่าพฤติกรรมผู้บริโภคปัจจุบันนี้ใครที่ไม่เคยซื้อสินค้าออนไลน์ถือว่าตกยุคอย่างมาก ยิ่งหนุ่มสาวออฟฟิศด้วยแล้วสารพัดสินค้าต่างผ่านหูผ่านตาตลอดทั้งเสื้อผ้า ครีม รองเท้า กระเป๋า ของใช้ ของเล่น ของสะสมและอีกจิปาถะมากมายต่างแข่งกันโฆษณาผ่านช่องทางโซเชียลอย่างกระหน่ำเลย บางคนก็ซื้อตามแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจนเงินหมดกระเป๋าเลย ถ้าไม่อยากเป็นอย่างนั้นลองวิธีนี้
หนึ่ง ใช้ความพอประมาณ เราไม่ได้บอกว่าการซื้อของออนไลน์ไม่ดี ห้ามซื้อ แต่ว่าก่อนจะซื้อควรสำรวจก่อนไหมว่าเรามีสินค้าที่ใกล้เคียงกันแล้วหรือยัง ถ้ามีแล้วก็ควรที่จะ พอ ก่อนไหม เช่น มีกระเป๋าถือสีฟ้าแล้ว จะซื้อใบใหม่สีฟ้าที่แตกต่างกันนิดหน่อยก็ดูจะเป็นการสิ้นเปลืองเกินไป
สอง ความมีเหตุผล หากเราต้องซื้อจริงๆ ควรพิจารณาเหตุผลถึงเรื่องของความ “จำเป็น” ว่ามีเหตุผลมากแค่ไหนที่จะต้องซื้อแนะนำว่าเขียนมาเป็นข้อๆเลย หากพิจารณาดูดีแล้วว่าควรซื้อก็ซื้อ แต่หากคิดว่าซื้อแล้วยังไม่คุ้ม ก็ยังไม่ต้องซื้อ
สาม มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี หมายถึง การอดทนต่อแรงยั่วยุ หลายครั้งที่เราซื้อสินค้าออนไลน์ด้วยความอยากได้ หรือ ตามคนอื่นให้ทัน พอได้มาจริงๆก็ไม่ได้ใช้ จนต้องมาถามตัวเองว่า ซื้อมาทำไมกันเนี่ย ดังนั้นควรสร้างภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีมีแตกต่างคนอื่นไม่ได้หมายความว่าคุณค่าเราจะลดลงซะหน่อย เปลี่ยนความคิดซะจะได้ไม่วิ่งตามซื้อให้เหนื่อย
การพัฒนาตัวเอง
สำหรับหนุ่มสาววัยทำงานเชื่อว่าในขณะที่ทำงานอยู่นั้น คงกำลังคิดว่าทำอย่างไรจะก้าวหน้า ทำอย่างไรจะได้เป็นหัวหน้า หรือมีกิจการเป็นของตัวเอง หากเรานำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางแล้วปฏิบัติตามรับรองว่าไม่ยาก
เงื่อนไขที่ 1 ความรู้ในที่นี้ ขอแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ หนึ่งศาสตร์ที่ใช้ในการทำงาน เราควรหมั่นศึกษาอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเราจะเรียนมามากแล้วก็ตาม เพราะความรู้พัฒนาอยู่ตลอด สิ่งที่เราเรียนมาอาจจะ “ล้าสมัย” ไปแล้วก็ได้ อยากเก่งอยากก้าวหน้าต้องหมั่นเรียนรู้ สองศาสตร์อื่นที่ใช้ในการทำงาน บางคนอาจจะใช้เวลาว่างไปพัฒนาตัวเองเรียนเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นภาษา คอมพิวเตอร์ หรือแม้อาชีพเล็กอย่างทำขนม ชงกาแฟ ทำอาหาร ซึ่งศาสตร์ที่เราเรียนเพิ่มเติมนี้ไม่แน่ว่าอาจจะนำมาประกอบอาชีพได้ในอนาคตก็เป็นได้
เงื่อนไขที่ 2 คุณธรรม เรื่องนี้เราสามารถนำไปปรับใช้ในการเข้าสังคมได้ทั้งในที่ทำงาน ลูกค้า และสิ่งแวดล้อมอื่นๆใกล้ตัว การมีคุณธรรมอย่างความซื่อสัตย์สุจริต ก็จะทำให้เราทำงานได้อย่างมีความสุข หรือหากมีความขยันหมั่นเพียร การถูกโปรโมตหรือดันขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นก็จะมาถึงเร็ว หรือถ้ามีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนร่วมงาน ก็จะได้รับความร่วมมือในการทำงาน ไม่มีคนคอยขัดแข้งขัดขา หากต้องทำงานใหญ่ก็จะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
เหล่านี้คือตัวอย่างการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับสภาพสังคม โดยเฉพาะหนุ่มสาวออฟฟิศยุคโซเชียลที่บางครั้งอาจจะประมาทในการใช้เงินไปบ้าง ซึ่งตอนนี้ยังไม่สายที่เราจะลดนิสัยเหล่านั้นแล้วนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นตัวนำทางชีวิต