เมื่อไม่นานมานี้ มีกระแสหนึ่งค่ะ ที่โด่งดังมากในโซเซียลมิเดียอย่าง Facebook ทำเอาสาวน้อยสาวใหญ่ต่างๆกรี๊ดกร๊าดกันเป็นแถบ ด้วยความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ของหนุ่มน้อยคนนี้ “ คุณ เบส วิโรจน์ ฉิมมี ” สถาปนิกหนุ่มอนาคตไกลที่จู่ๆก็ผันตัวจากในเมืองใหญ่มาทำการเกษตรแบบยั่งยืนที่บ้านเกิด จนกลายเป็นธุรกิจที่กำลังเติบโตและเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ของการเป็น บ้านไร่ไออรุณ วันนี้ค่ะ เราจะมาเจาะลึก ศึกษาแนวทางแรงบันดาลใจในการสร้างธุรกิจครอบครัวที่ยั่งยืน ในแบบฉบับของคุณเบสกันค่ะ
ถ้าพูดถึงการเกษตร หลายคนก็เริ่มบ่นแล้วว่า เหนื่อย/งานหนัก/แดดร้อน/ลำบาก/ไม่สะดวกสบาย บ้างล่ะ สารพัดเหตุผล อย่างว่าแหละค่ะ การเป็นเกษตรกรหรือทำอาชีพเกษตรกรนั้น ไม่ค่อยรื่นรมเสียเท่าไหร่ เพราะว่ากว่าจะได้ผลผลิตเพื่อที่จะนำไปขาย ต้องใช้ระยะเวลา ทั้งยังต้องใช้แรงงาน แรงกาย แรงเงินอีก ถ้าไม่ใจรักจริงๆ ทำไม่ได้แน่ๆ เช่นเดียวกันกับ หนุ่มน้อยนักสร้างฝันคนนี้ คุณเบส ที่นอกจากจะมีดีกรีในเรื่องของความรู้ความชำนาญในการออกแบบแล้ว สิ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนสำหรับคุณเบสก็คือ การเปลี่ยนทัศนคติความคิดของตนเอง ว่าการที่หวนกลับมาบ้านเกิดคราวนี้ ก็เพื่อต้องการที่จะใช้ชีวิตแบบพอเพียงและเริ่มต้นทำการเกษตรและสร้างให้เป็นธุรกิจครอบครัวที่ยั่งยืนต่อไปได้ แนวคิดดีดีแบบนี้ น้อยคนมากค่ะ ที่จะสามารถคิดได้ เพราะว่า คนส่วนใหญ่เสพติดชีวิตที่สุขสบายในเมืองหลวงมากกว่าที่จะไปอาศัยอยู่ในชนบทที่ไม่มีอะไรเลย ซึ่งถ้ามองในแง่ของความเป็นจริงแล้ว สภาพแวดล้อม ลักษณะภูมิประเทศของไทยนั้นถือว่า เหมาะแก่การเพาะปลูกเป็นอย่างมาก ทำไมเราไม่ลองมาทำการเกษตรแบบจริงจังบ้างล่ะ ?
ตัวอย่างการทำธุรกิจ บ้านไร่ไออรุณ ของคุณเบส เชื่อว่าสามารถจุดประกายความคิดให้ใครอีกหลายมากมายทีเดียว ถือเป็นการลงทุนในอีกหนึ่งรูปแบบที่มีความน่าสนใจและสร้างสรรค์ ที่มากกว่านั้นคือ คุณค่าของผลผลิต คุณเบสได้นำเอาเกษตรอินทรีย์มาใช้เพื่อปรับปรุงและสร้างคุณค่าให้กับผลผลิต ซึ่งผักที่ลูกค้าซื้อไปจะมีราคาที่ถูกแล้ว ผักทุกต้นนั้นต่างถูกปลูกและได้รับการดูแลอย่างเอาใจใส่อย่างดี มั่นใจได้เลยว่า ปลอดสารพิษ สดใหม่และดีต่อสุขภาพ นอกจากคุณภาพแล้ว จะเห็นว่าการสร้างคุณค่าให้ผลผลิตนั้นก็ยังเป็นหลักการสำคัญของการลงทุนทำธุรกิจ ดังเช่นที่คุณเบส ได้มีสโลแกนบอกไว้ว่า “ สิ่งเล็กๆจากในไร่…ด้วยหัวใจถึงมือคุณ ” นั่นเอง
สำหรับใครที่เบื่อหน่ายกับการลงทุนกับคอนโด อสังหาริมทรัพย์ หุ้น หรืออื่นๆ ลองมาจับทางลงทุนธุรกิจทางด้านการเกษตรบ้างสิคะ น่าสนใจไม่น้อยเลย อีกอย่าง ตลาดภาคการเกษตรของไทย ถึงแม้ว่าราคาผลผลิตจะตกต่ำ แต่ถ้าเราลองมองกลับกันในแง่ของการพัฒนาเรื่องคุณภาพ โดยเฉพาะ ผักปลอดสารพิษต่างๆ มีแนวโน้มที่จะตอบโจทย์การบริโภคเพื่อสุขภาพมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะผู้คนถึงจะใช้เวลาอย่างเร่งรีบก็จริง แต่อย่างนั้นส่วนใหญ่ก็ต่างต้องการที่จะดูแลเอาใจใส่สุขภาพของตนเองมากขึ้นเหมือนกัน ดังนั้น การทำเกษตรแบบอินทรีย์ ปลูกผักปลอดสารพิษ ก็เห็นที จะพอมีหวังว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีไม่น้อย และไม่แน่ว่าในอนาคต การขยายตลาดไปยังประเทศต่างๆ รัฐบาลจะมีการส่งเสริม ผลักดันให้เป็นสินค้าส่งออกที่มีคุณภาพ ที่สร้างรายได้เข้าประเทศต่อไป
นอกจากนี้ในฐานะที่ประเทศไทยได้เดินหน้าเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนแบบเต็มตัว การลงทุนในภาคการเกษตรในประเทศสมาชิกต่างๆ ก็มีความน่าสนใจไม่น้อย เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศ,การที่มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติมาก,ค่าจ้างแรงงานถูก โดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านอย่าง กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม การลงทุนส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การทำเกษตรแบบอินทรีย์ การแปรรูปสินค้าเกษตร อาหารทะเลแช่แข็ง/กระป๋อง การเลี้ยงสัตว์ การทำประมง ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากยางพารา และอีกมากมาย ถ้าพูดถึงการทำการเกษตรซึ่งฐานการผลิตคู่แข่งหลักๆของไทย อย่างเช่น เวียดนาม ก็ตีคู่เรื่องการส่งออกข้าวมาโดยตลอด จนไม่กี่ปีมานี้ เวียดนามส่งออกข้าวเป็นอันดับต้นๆ แซงหน้าคนไทยไปแล้ว
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ถ้าคนในบ้านเราหันมาสนใจเรื่องเกษตรอินทร์มากขึ้น ก็คงจะดีไม่น้อย จะเป็นการกระจายรายได้และสามารถเพิ่มรายได้ในการเลี้ยงชีพแก่ผู้คนเป็นอย่างมาก ดังในพระราชดำรัสของในหลวงที่ท่านทรงตรัสกับพสกนิกรชาวไทยเอาไว้ว่า
” การจะเป็นเสือนั้นมันไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราพออยู่พอกิน และมีเศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกิน หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง “ (พระราชดำรัส “เศรษฐกิจแบบพอเพียง” พระราชทานเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 )
คุณเบส วิโรจน์ ฉิมมี เรียกได้ว่าเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ได้สัมผัสกับคำว่า พอเพียง พอประมาณอย่างแท้จริง จะเห็นได้ว่า การเป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของกิจการนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องทำอะไรให้ใหญ่โต ไม่จำเป็นต้องสร้างธุรกิจให้เกินตัว เพียงแค่กิจการเล็กๆแต่บริหารได้ จัดการเองได้ ทำแล้วมีความสุข อยู่กับคนในครอบครัว คนที่เรารัก อย่างที่บอกไว้ว่า ไม่สุดโต่ง ไม่โลภมาก ยืนด้วยขาด้วยลำแข้งของตนเองได้ ก็ถือว่าสุดยอดแล้วล่ะค่ะ บ้านไร่ ไออรุณ นับว่าเป็นธุรกิจเล็กๆในระดับของครอบครัวที่ประสบความสำเร็จ ถึงแม้ว่าการทำเกษตร จะดูยุ่งยากไปสักหน่อย แต่ด้วยความที่มีใจรักในธรรมชาติและเพื่อตอบแทนผืนแผ่นดินเกิด จึงเป็นที่มาว่า ของคำว่า ทำไม ? ถึงต้องทำ นั่นเพราะ จุดมุ่งหมายของชายหนุ่มคนนี้ ไม่ใช่แค่การเป็นสถาปนิก แต่หมายถึงการสรรค์สร้างสิ่งที่ดีที่สุดให้กับครอบครัวและบ้านเกิดของเขานั่นเองค่ะ.