แบงก์ชาติสั่งชัด โอนเงิน-จ่ายเงิน ไม่เกิน 50000 ต่อวัน ป้องกันมิจฉาชีพ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการใหม่เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรมการเงินดิจิทัล โดยกำหนดให้มีการจำกัดวงเงินโอน และชำระเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน สำหรับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง และกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ เด็กต่ำกว่า 15 ปี และผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี โดยจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ สิ้นเดือนสิงหาคม 2568 สำหรับลูกค้าใหม่ และ สิ้นปี 2568 สำหรับลูกค้าปัจจุบัน
ทำไมต้องมีมาตรการนี้?
ข้อมูลจาก Thai Police ระบุว่า เด็ก และผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพบ่อยครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่อายุเกิน 60 ปี มีเคสถูกหลอกกว่า 41,577 ราย มูลค่าความเสียหายเฉลี่ยสูงถึง 416,453 บาทต่อคน (ข้อมูลระหว่าง 1 มีนาคม – 30 มิถุนายน 2568)
แม้ว่าในปี 2568 ธปท. จะสามารถลดจำนวนเคส “แอปดูดเงิน” ลงเหลือศูนย์ แต่ปัญหาการถูกหลอกให้โอนเงินเองยังคงรุนแรง โดยเฉพาะในไตรมาส 2 ปี 2568 ที่มีมูลค่าความเสียหายรวมสูงถึงเกือบ 6,000 ล้านบาท
บังคับใช้เมื่อไหร่?
- ลูกค้าใหม่: สิ้นเดือนสิงหาคม 2568
- ลูกค้าปัจจุบัน: ภายในสิ้นปี 2568
โดยธนาคารจะแจ้งเตือนลูกค้าเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงวงเงินผ่าน SMS หรือช่องทางที่เคยใช้ติดต่ออยู่แล้ว
ใครได้รับผลกระทบบ้าง?
มาตรการนี้จะใช้เฉพาะ บุคคลธรรมดา ไม่รวมถึงนิติบุคคล โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
กลุ่มเสี่ยง
- กลุ่มที่ต้องสงสัยว่าอาจเป็นมิจฉาชีพ หรือบัญชีม้า
- ธนาคารจะล็อกวงเงินไว้ที่ระดับ S (ไม่เกิน 50,000 บาท/วัน)
เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพโอนเงินครั้งละมาก ๆ และเพิ่มโอกาสให้ตำรวจสามารถกักเงินที่ถูกหลอกไปได้ทัน
กลุ่มทั่วไป
- ลูกค้าที่ไม่มีความเสี่ยง-ความเสี่ยงน้อย
- ธนาคารจะกำหนดวงเงินตามระดับ โดยพิจารณาจากประวัติการใช้บริการ กระแสเงินเข้า-ออก และฐานะทางการเงินของลูกค้า ดังนี้
- S (≤50,000 บาท)
- M (≤200,000 บาท)
- L (>200,000 บาท)
กลุ่มเปราะบาง
- เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี และผู้สูงอายุเกิน 65 ปี
- เบื้องต้นธนาคารจะตั้งวงเงินตามระดับ S, M หรือ L เหมือนกลุ่มทั่วไป
- หากต้องการวงเงินสูงกว่าที่กำหนด จะต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติมเพื่อป้องกันการถูกมิจฉาชีพหลอกลวง
มาตรการจำกัดวงเงินโอน-ชำระเงินไม่เกิน 50,000 บาท/วัน สำหรับกลุ่มเสี่ยง และกลุ่มเปราะบาง ถือเป็นการเพิ่มเกราะป้องกันภัยทางการเงิน ลดโอกาสที่มิจฉาชีพจะใช้ช่องทางดิจิทัลในการหลอกลวงประชาชน แม้อาจส่งผลให้บางคนใช้งานได้ไม่สะดวกเท่าเดิม แต่ก็ช่วยสร้างความปลอดภัยในระบบการเงินดิจิทัลระยะยาว