กลับมาระบาดหนักอีกครั้ง เมื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ใจ กวาดเงินก้อนใหญ่จากคนที่หลงเชื่อนับครั้งไม่ถ้วน แม้จะมีข่าวคราวออกมานำเสนอถึงกลโกงจากเหล่ามิจฉาชีพทางโทรศัพท์อยู่เสมอ แต่ก็ยังมีคนตกเป็นเหยื่อจากความกลัว และความโลภอยู่บ่อยๆ เช่นกัน
ความหนักหน่วงของปัญหากลายเป็นความเดือดร้อนอย่างสุดแสน จนถึงขนาดที่สมาคมธนาคารไทยต้องออกมาเตือนประชาชนให้ระมัดระวัง และอย่าไปติดกับดักหลงเชื่อแก๊งต้มตุ๋นเหล่านี้เป็นอันขาด ถึงแม้จะอ้างตนเองว่าเป็นพนักงานจากหน่วยงานของรัฐ หรือธนาคารชื่อดัง พร้อมแสดงหมายเลขโทรศัพท์ที่น่าเชื่อถือก็ตาม
สถิติโดนหลอกเพิ่มขึ้นทุกวัน
ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า ในไตรมาส 2 ของปี 59 นี้ ศูนย์ฯ ได้รับการร้องเรียน แจ้งเบาะแส และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับภัยทางการเงินมากถึง 146 รายการ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรก 6 รายการ หรือคิดเป็น 4.3% ซึ่งเป็นการหลอกลวงทางโทรศัพท์จำนวน 25 รายการ หรือ 17.1% โดยส่วนใหญ่อ้างว่าเป็นธนาคารกลาง เพื่อขออายัดบัญชี เพราะมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ
แฉกลโกงตุ๋นเหยื่อให้เชื่อใจ
แก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้จะสุ่มเบอร์โทรศัพท์ และใช้ข้อความอัตโนมัติสร้างความตื่นเต้นตกใจ หรือใช้วิธีโทรศัพท์ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ หรือ VOIP (Voice over IP) เพื่อแปลงสัญญาณปลอมเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของหน่วยงานภาครัฐหรือสถาบันการเงินที่น่าเชื่อถือ ให้เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายทำรายการผ่านตู้ ATM ด้วย “เมนูภาษาอังกฤษ”
6 ข้ออ้าง ‘หลอกโอนเงิน’
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมคนที่ตกเป็นเหยื่อถึงยังยอมหลงเชื่อโอนเงินให้มิจฉาชีพเหล่านี้ ทั้งๆ ที่มีข่าวกระหน่ำครึกโครมอยู่ทุกวี่วัน แต่เพราะด้วยกลวิธีแยบคายที่เหล่ามิจฉาชีพนำมาเป็นข้ออ้างจนน่าเชื่อถือ บวกกับความกลัว ความโลภ และความรู้ไม่เท่าทันของเหยื่อ จึงนำมาซึ่งความเดือดร้อนอย่างที่เห็นในทุกครั้งนั่นเอง มาดูกันว่า 6 ข้ออ้างที่เหล่ามิจฉาชีพมักหลอกจนประสบความสำเร็จมีอะไรบ้าง
- บัญชีเงินฝากถูกอายัด หรือติดหนี้บัตรเครดิต เป็นข้ออ้างที่มิจฉาชีพนิยมมากที่สุด เพราะคนส่วนใหญ่จะกลัว ซึ่งมิจฉาชีพจะทำผ่านระบบตอบรับอัตโนมัติก่อน เมื่อเหยื่อหลงเชื่อทำรายการตอบรับแล้ว มิจฉาชีพก็จะแฝงตัวเป็นคอลเซ็นเตอร์หลอกถามฐานะทางการเงิน และหากพบว่าเหยื่อมีเงินในบัญชีมาก ก็จะหลอกให้โอน หรือฝากเงินผ่านเครื่องฝากเงินอัตโนมัติทันที
- บัญชีเงินฝากพัวพันกับแก๊งค้ายาเสพติด หรือการฟอกเงิน มิจฉาชีพจะอ้างตัวเป็นองค์กรของรัฐเพื่อขอตรวจสอบข้อมูล เพราะพบว่าบัญชีของเหยื่อมีส่วนไปพัวพันกับการค้ายาเสพติด หรือการฟอกเงิน จึงทำให้เหยื่อเกิดความกลัว และเมื่อมิจฉาชีพหลอกถามข้อมูลต่างๆ แล้วทราบว่า เหยื่อเป็นผู้มีฐานะ หรือมีเงินในบัญชีจำนวนมาก ก็จะหลอกให้โอนเงินในบัญชีทั้งหมดมาตรวจสอบความโปร่งใส
- เงินคืนภาษี ซึ่งจะระบาดมากในช่วงการยื่นภาษีและมีการขอเงินคืน โดยมิจฉาชีพจะแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากรแจ้งว่า เหยื่อได้รับเงินภาษีคืน ซึ่งจะต้องยืนยันรายการตามคำบอกที่ตู้ ATM แต่จริงๆ แล้ว กลับเป็นขั้นตอนการโอนเงินให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์นั่นเอง
- เป็นผู้โชคดี มิจฉาชีพจะทำตัวเป็นเจ้าหน้าที่จากองค์กรต่างๆ ให้มาแจ้งข่าวดีกับเหยื่อว่าเป็นผู้ได้รับเงินรางวัล และหลอกให้เหยื่อโอนเงินค่าภาษีก่อนมารับรางวัลจริง
- ข้อมูลส่วนตัวหาย มิจฉาชีพจะสวมรอยเป็นเจ้าหน้าที่สถาบันการเงิน พร้อมเล่าเหตุผลผิดพลาดต่างๆ ที่ทำข้อมูลของเหยื่อสูญหาย และขอให้เหยื่อยืนยันข้อมูลส่วนตัวอีกครั้งเพื่อเก็บเป็นฐานข้อมูล แต่แท้จริงแล้ว มิจฉาชีพจะนำข้อมูลเหล่านั้นไปปลอมแปลงเอกสาร หรือใช้บริการทางการเงินในนามของเหยื่อต่อไป
- โอนเงินผิด มิจฉาชีพจะใช้วิธีนี้เมื่อมีข้อมูลของเหยื่อค่อนข้างมากระดับหนึ่งแล้ว โดยจะทำการโทรศัพท์ไปยังสถาบันการเงินที่เหยื่อใช้บริการอยู่ เพื่อขอสินเชื่อผ่านทางโทรศัพท์ เมื่อธนาคารสอบถามข้อมูลส่วนตัวจนแน่ใจแล้วว่าเป็นตัวตนจริงของเหยื่อ ก็จะอนุมัติวงเงิน และโอนเงินสินเชื่อเข้าบัญชีเงินฝาก หลังจากนั้นมิจฉาชีพจะโทรศัพท์กลับไปหาเหยื่อเพื่อแจ้งว่า ได้โอนเงินผิดเข้าบัญชีของเหยื่อ และขอให้โอนเงินคืน ซึ่งในความเป็นจริงเงินก้อนนั้นก็คือสินเชื่อที่มิจฉาชีพโทร.ไปขอในนามของเหยื่อนั่นเอง
จะเห็นได้ว่า นับวันแก๊งโกงคอลเซ็นเตอร์จะพัฒนาวิธีการ และแอบอ้างข้อมูลหลากหลายรูปแบบ หากคุณไม่อยากตกเป็น ‘เหยื่อ’ ง่ายๆ เมื่อใดที่ได้รับโทรศัพท์จากหน่วยงาน หรือสถาบันการเงิน เพื่อให้โอน หรือฝากเงินผ่านตู้ ATM ด้วยเหตุผลใดก็ตาม ขอให้ตั้งสติ รู้เท่าทัน พยายามรวบรวมข้อมูลให้มากที่สุด และโทรศัพท์กลับไปสอบถามจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที เพียงเท่านี้ เงินของคุณก็จะปลอดภัยจากเหล่าโจรร้ายเสียงตามสายได้แล้วล่ะค่ะ
ที่มา