วงการการค้าออนไลน์เริ่มสะเทือน เมื่อกรมสรรพากรประกาศกร้าวเอาจริงเรื่องการเก็บภาษีสำหรับร้านค้าออนไลน์ที่ทำการซื้อขายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีคอมเมิร์ซทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก กูเกิล ไลน์ หรืออินสตาแกรม เพื่อความยุติธรรมเท่าเทียมกับธุรกิจที่มีหน้าร้านทั่วไป และนำภาษีที่ได้มาพัฒนาสาธารณูปโภคภายในประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ล่าสุดสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า การค้าออนไลน์หรืออีคอมเมิร์ซในประเทศไทยขณะนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีมูลค่ามากถึง 2.5 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 40% ของมูลค่าการค้าสินค้าและบริการทั้งหมดของไทยไปแล้ว
นอกจากนี้ สมาคมมีเดียเอเจนซีและธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทย หรือ MAAT ได้เปิดเผยเม็ดเงินจากค่าโฆษณาบนสื่อดิจิทัล อินเตอร์เน็ต ในปีที่ผ่านมาว่า มีมูลค่ามากถึง 9,150 ล้านบาท โดย 90% ล้วนเป็นรายได้ของเฟซบุ๊ก (Facebook) กูเกิล (Google) ยูทูบ (YouTube) และไลน์ (Line) ซึ่งสถานะของบริษัทเหล่านี้ในประเทศไทยเป็นเพียงสำนักงานสาขาที่รับแต่รายได้ และไม่มีภาระภาษีแต่อย่างใด
สำหรับประเทศไทย ก่อนหน้านี้ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องการเก็บภาษีสำหรับร้านค้าออนไลน์ แต่เมื่อเทคโนโลยีเริ่มก้าวล้ำทันสมัย การค้าขายผ่านทางอินเตอร์เน็ตก็เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว และเพื่อเป็นการลดช่องว่างของปัญหา และสร้างความเท่าเทียมให้กับร้านค้าทั่วไป กรมสรรพากรจึงได้เตรียมร่างกฎหมายจัดเก็บภาษีจากการซื้อขายสินค้าผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีคอมเมิร์ซ ซึ่งในขณะนี้อยู่ในช่วงกำลังพิจารณาเนื้อหาเพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในอีก 2-3 เดือน หรือไม่เกินไตรมาสที่ 2 นี้อย่างแน่นอน
สำหรับรูปแบบการเก็บภาษีอีคอมเมิร์ซ กรมสรรพากรได้วางไว้ 2 แนวทาง คือ
-
อีคอมเมิร์ซที่มีการซื้อขายสินค้าและบริการในประเทศ
-
อีคอมเมิร์ซที่มีการซื้อขายสินค้าและบริการในต่างประเทศ
ซึ่งการดำเนินการจัดเก็บภาษีอีคอมเมิร์ซภายในประเทศคิดว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาหรือเรื่องยากแต่อย่างใด เพราะปัจจุบันกรมสรรพากรก็ได้เริ่มติดตามการซื้อขายสินค้าและบริการจากช่องทางชำระเงิน พร้อมกับได้เรียกตรวจสอบและเก็บภาษีจากผู้ประกอบการกลุ่มนี้มาได้ 1-2 ปีแล้ว ซึ่งในแต่ละปีก็สามารถเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากระดับ 100 ล้านบาท มาเป็นมากกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปีแล้ว
ในส่วนของการเก็บภาษีสินค้าและบริการในต่างประเทศนั้น กรมสรรพากรยอมรับว่า ยังคงเป็นเรื่องที่ยากอยู่ เพราะแม้ว่าการสั่งซื้อหรือทำธุรกรรมจะเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่การชำระเงิน การส่งมอบสินค้าหรือบริการ อาจจะเกิดหรือไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยก็ได้ จึงเป็นผลให้ประเทศไทยสูญเสียรายได้จากการเก็บภาษีในส่วนนี้มากพอสมควร
อย่างไรก็ดี ร่างกฎหมายฉบับใหม่นี้ ทางกรมสรรพากรได้วางแผน และศึกษาข้อมูลทั้งส่วนที่เป็นผลดีและผลเสียอย่างครอบคลุมจากกรณีของต่างประเทศแล้ว พร้อมกับหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อหวังจะให้เป็นกฎหมายที่รองรับการค้าบนโลกออนไลน์ในอีก 20-30 ปีข้างหน้าเลยทีเดียว
ทั้งนี้ รูปแบบเนื้อหาของร่างกฎหมายจะเป็นอย่างไร และจะส่งผลกระทบต่อการค้าบนโลกออนไลน์มากน้อยแค่ไหน คงต้องรอดูกันในอีกไม่ช้านี้ แต่ถึงอย่างไร เชื่อแน่ว่า กฎหมายฉบับนี้ย่อมจะส่งผลดีต่อประเทศอย่างแน่นอน
ที่มา