การสร้างครอบครัว คือการสร้างความมั่นคงทั้งในชีวิต หน้าที่การงาน และการเงิน หากครอบครัวใดมีการบริหารการเงินภายในครอบครัวที่ดีแล้ว เชื่อได้เลยว่า ครอบครัวนั้นจะต้องพบกับความสุขอย่างแน่นอน
การซื้อบ้าน ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัว ดังนั้นเราจะแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับการกู้เงินซื้อบ้าน รวมถึงการบริหารเงินภายในครอบครัว ให้มีสภาพคล่องสามารถแบ่งสัดส่วนไว้ชำระหนี้ที่กู้ได้อย่างสบายใจ คุณลองมาดูกันเลยว่ามีอะไรบ้างที่จำเป็นต้องรู้ก่อนตัดสนใจขอกู้เงิน
วางแผนก่อนผ่อนบ้าน
คุณควรทำเข้าใจและศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัตราเงินที่คุณต้องจ่ายในแต่ละเดือนว่าเป็นจำนวนเงินเท่าไร อย่างเช่น มีอัตราดอกเบี้ยสูงหรือไม่ คุณสามารถผ่อนชำระได้นานเพียงใด ข้อมูลพื้นฐานพวกนี้จะทำให้คุณสามารถบริหารจัดการเงินภายในบ้านได้อย่างลงตัว แต่หากคุณยังมีภาระที่รับผิดชอบมาก ควรที่จะมีการคำนวณจำนวนเงินทั้งหมดที่ต้องใช้ในแต่ละเดือนอย่างละเอียดก่อนที่จะเพิ่มภาระหนี้สินการกู้เงินผ่อนบ้านเพิ่มอีก สิ่งควรต้องเตรียมก่อนซื้อบ้านมีดังนี้
การประเมินจำนวนเงินที่คุณต้องผ่อนชำระ
สิ่งแรกที่ควรทำคือการประเมินตนเอง เกี่ยวกับความสามารถในการผ่อนชำระ ควรเตรียมเงินดาวน์ไว้ประมาณ 10 – 15เปอร์เซนต์ของราคาบ้าน เพื่อไม่ให้เป็นภาระหนักเกินไปในการผ่อนชำระสินเชื่อกับธนาคารในแต่ละงวด ซึ่งโดยทั่วไปทางธนาคารจะให้วงเงินกู้สูงสุดประมาณ 80 – 90 เปอร์เซนต์ของมูลค่าบ้าน ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับอาชีพและประวัติทางการเงินของคุณด้วย ธนาคารจะอนุมัติเงินที่ต้องผ่อนต่องวดประมาณ 30 – 40 เปอร์เซนต์ของรายได้ผู้กู้ อย่างเช่น มีรายได้ 30,000 บาทต่อเดือน คุณสามาถผ่อนชำระบ้านได้ 9,000 บาทถึง 12,000 บาทต่อเดือน เป็นต้น
เข้าใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สินเชื่อบ้าน
ควรทำความเข้าใจการจ่ายอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ว่าจะต้องจ่ายอย่างไร ในอัตราส่วนเท่าใด ซึ่งดอกเบี้ยมีผลอย่างมากต่อการชำระเงินในแต่ละงวด ดอกเบี้ยมี 2 แบบด้วยกันคือ อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ กับอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว
อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ทางธนาคารมีการกำหนดเอาไว้อย่างแน่นอน ส่วนใหญ่ทางธนาคารจะกำหนดอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ในระหว่าง 1 – 3 ปี
อัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว เป็นอัตราดอกเบี้ยตามประกาศของธนาคารโดยการอ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ยของสถาบันทางการเงินที่ประกาศออกมา เนื่องจากต้นทุนของธนาคารมีความแตกต่างกัน ส่วนใหญ่ที่เราเจอจะเป็น MLR หรือ MRR หลาย ๆ คนคงยังสงสัยเกี่ยวกับ MLR และ MRR ว่าคืออะไร เราขออธิบายอย่างคราว ๆ เพื่อคุณสามารถเข้าใจได้ง่ายก่อนแล้วกันค่ะ
- MLR (Minimum Loan Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ทางธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ยกตัวอย่างเช่น มีประวัติทางการเงินที่ดี มีหลักทรัพย์คล้ำประกันอย่างเพียงพอ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนี้จะเป็นการผ่อนชำระเงินในระยะยาว และต้องมีความชัดเจนของระยะเวลาผ่อนชำระด้วย
- MRR (Minimum Retail Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ทางธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี ยกตัวอย่างเช่น สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือบัตรเครดิตต่าง ๆ
อัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัวนี้ ธนาคารบางแห่งอาจใช้ MLR เป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง หรืออาจใช้ MRR เป็นหลักในการปล่อยกู้บ้านที่อยู่อาศัย อัตราดอกเบี้ยแบบ MRR ก็ไม่ได้สูงเสมอไป บางทีอาจจะต่ำกว่า MLR ก็เป็นไปได้เช่นกัน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัวนั้น จะมีการบวกเพิ่มหรือลบลงได้ อย่างเช่น MLR +1% หรือ MRR -2% ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับธนาคารที่สามารถปล่อยให้คุณชำระหนี้ได้คนละเท่าไรนั่นเอง
หาสินเชื่อที่มีความเหมาะสมกับตัวเอง
ในปัจจุบันธนาคารมีสินเชื่อหลากหลายประเภท แยกออกเป็นกลุ่มของลูกค้า และอาชีพหรือความต้องการ เช่น สินเชื่อสำหรับการซื้อบ้าน หรือคอนโนมิเนียม เป็นต้น สำหรับคนไหนที่อยากจะรีไฟแนนซ์ อันนี้ก็ทำได้เพื่อเป็นการไถ่ถอนหลักทรัพย์จำนองจากสถาบันการเงินอื่น ให้ได้รับดอกเบี้ยต่ำในสถาบันการเงินแห่งใหม่ด้วยเงื่อนไขพิเศษ
ผ่อนบ้านอย่างมีชั้นเชิง
เทคนิคการผ่อนบ้านให้หมดไว ๆ ขั้นแรก คือ การเพิ่มจำนวนเงินที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือน ยิ่งจ่ายเงินต้นเยอะเท่าไหร่ ดอกเบี้ยก็ลดลงไปมากเท่านั้น ที่สำคัญระยะเวลาในการผ่อนก็เร็วขึ้นอีกด้วย คุณเชื่อหรือไม่ว่าเพียงคุณจ่ายเงินเพิ่มขึ้นอีก 10% ที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือน คุณจะสามารถผ่อนบ้านได้เร็วขึ้นอีกประมาณ 7 ปีเลยทีเดียว และขั้นตอนถัดมาคือการ ทำรีไฟแนนซ์บ้าน (เป็นการนำบ้านที่เสียอัตราดอกเบี้ยสูงจากสถาบันการเงินแห่งเก่า มาขอกู้ใหม่ในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลงกับสถาบันทางการเงินแห่งใหม่) จะทำให้คุณมีโอกาสได้ผ่อนดอกเบี้ยที่ถูกลง ซึ่งควรมีการตรวจสอบอัตราดอกเบี้ยของแต่ละธนาคารอย่างละเอียดว่ามีเงื่อนไขในการจ่ายดอกเบี้ยอย่างไร ที่สำคัญคือจังหวะที่คุณได้อัตราดอกเบี้ยจ่ายที่ถูกลง เป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับการโปะเงินต้นเข้าไปอีก เพื่อลดระยะเวลาในการผ่อนชำระให้สั้นลงนั่นเอง
วางแผนรับมือกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
หลังจากซื้อบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปัญหาใหญ่ที่ครอบครัวจะต้องรับมือให้ได้ก็คือ ความเสี่ยงทางการเงิน การผ่อนบ้านเป็นเวลานาน ๆ ถือเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่ง เพราะเมื่อคุณผ่อนบ้านไปได้ระยะหนึ่งแล้ว บังเอิญพบเจอปัญหาทางการเงินทำให้ระบบการเงินภายในบ้านขาดสภาพคล่อง เป็นสาเหตุให้คุณไม่สามารถผ่อนชำระได้ตามกำหนด ทำให้เกิดการสะสมของดอกเบี้ยผิดนัด หากคุณยังขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นว่าคุณมีดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายมากกว่าเงินต้นที่เหลืออยู่ ทำให้คุณต้องเสียเงินมากเกินความจำเป็นและอาจจะมีความเสี่ยงในอนาคตได้ เช่น บ้านอาจถูกยึดและต้องใช้หนี้ที่เหลือเพิ่มเติมอีก เท่ากับว่าที่ผ่านมาคุณไม่ได้อะไรเลย ฉะนั้นควรมีการวางแผนบริหารการเงินให้ดี เพื่อป้องกันการเกิดความเสี่ยงในอนาคตได้
วางแผนอนาคตด้วยกองทุน RMF
เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการมีเงินใช้หลังวัยเกษียณ เป็นการป้องกันความเสี่ยงในอนาคตได้ดี เพิ่มสภาพคล่องทางการเงินในช่วงเวลาที่ไม่สามารถหาเงินเพิ่มได้ คุณยังสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดตามที่กฏหมายกำหนดอีกด้วย