ชีวิตของคนเราทุกวันนี้ มีโอกาสพบเจอกับการสูญทางการเงินอยู่ตลอดเวลา เช่น เจ็บป่วย ถูกฉ้อโกง ถูกหลอกลวง เกิดอุบัติเหตุ หรือภัยพิบัติต่างๆ สิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อความมั่นคงทางการเงินของเราและบางครั้งก็ส่งผลต่อบุคคลรอบข้างที่อยู่ในความรับผิดชอบของเราด้วย ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าอันตรายจะเกิดกับตัวเมื่อไหร่ ดังนั้นการบริหารความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งจำเป็น
หลักการในการพิจารณาความเสี่ยงให้มองที่องค์ประกอบ 2 อย่างคือ โอกาสที่จะเกิดภัย กับความรุนแรงของผลที่จะได้รับ โดยเขียนเป็นสมการได้ว่า
ความเสี่ยง = โอกาสในการเกิดภัย x ความรุนแรงของภัย
นอกจากนี้ความเสี่ยงยังขึ้นกับแนวทางการใช้ชีวิตของแต่ละคนที่มีความต่างกันด้วย ถ้าเราจะบริหารความเสี่ยงให้ถูกต้อง จึงต้องมองทั้งสองมิติคือ เรื่องของสมการความเสี่ยงและแนวทางการใช้ชีวิตควบคู่กันไป การขาดมิติด้านใดด้านหนึ่งจะทำให้การประเมินความเสี่ยงผิดเพี้ยนไปได้ ยกตัวอย่างเช่น สมชายเป็นคนเสเพล กินเหล้าหัวราน้ำ ระรานคนไปทั่ว ขณะที่สมหวัง ไม่กินเหล้า และเป็นคนเรียบร้อยไม่ชอบมีเรื่องกับใคร กรณีนี้สมชายจะมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าสมหวัง แต่ถ้าสมชายอยู่คนเดียวไม่มีครอบครัวให้ต้องดูแล ส่วนสมหวังเป็นเสาหลักที่ต้องเลี้ยงดูคนทั้งบ้าน กรณีนี้ถ้าสมหวังเสียชีวิตไป ก็จะส่งผลกระทบทางการเงินสูงกว่าสมชาย เมื่อดูทั้งสองมิติทั้งสองก็จะพบว่าทั้งสองมีความเสี่ยงที่เข้าสมการแล้วอาจได้ค่าที่ใกล้เคียงกันก็ได้
เมื่อมีความเสี่ยงเกิดขึ้น โดยส่วนใหญ่เราจะรับมือกับความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินได้ 4 วิธี
ข้อที่หนึ่ง การหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
คือการละเว้น ไม่กระทำเรื่องที่เป็นภัย หรือเรื่องที่มีความเสี่ยง เช่น เราจะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการเป็นโรคถุงลมโป่งพองได้ ด้วยการไม่สูบบุหรี่
ข้อที่สอง การลดความเสี่ยง
คือการลดกิจกรรมหรือหาทางป้องกันความเสี่ยง เพื่อลดโอกาสในการเกิดภัยนั้นๆ ให้น้อยลง เช่น การออกกำลังกายทุกวัน กินอาหารดีมีประโยชน์ ก็จะสามารถลดความเสี่ยงภัยที่จะเกิดกับสุขภาพ ลดการเจ็บป่วยลงได้
ข้อที่สาม การโอนความเสี่ยง
คือการผลักภาระทางการเงินทั้งหมด หรือบางส่วนที่อาจเกิดจากภัยร้ายไปยังบุคคลที่สามหรือบริษัททำประกัน เพื่อลดภาระทางการเงินที่จะสูญเสียโดยตรง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การทำประกันภัยนั่นเอง
ข้อที่สี่ การรับความเสี่ยงไว้ด้วยตัวเอง
คือการรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นไว้กับตัวเอง โดยคำนวณแล้วว่า อยู่ในวิสัยที่รับมือได้ ซึ่งการรับภาระส่วนนี้มักจะเป็นส่วนที่เจ็บป่วยเล็กน้อย หรือมีปัญหาสุขภาพในระดับปกติของคนทั่วไป เช่น ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ นิดหน่อย ไปหาหมอและจ่ายค่าหมอเล็กน้อยๆนั้นได้ ไม่ต้องไปทำประกันให้ยุ่งยากและเสียเบี้ยที่อาจไม่คุ้ม
แม้เราจะเรียนรู้และรับรู้เรื่องการจัดการบริหารความเสี่ยงดีแล้ว แต่ในทางปฏิบัติ คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าตัวเองคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นมั้ง และละเลยที่จะบริหารความเสี่ยงในท้ายที่สุด จริงอยู่ที่โอกาสในการเกิดภัยต่างๆมีความน่าจะเป็นมากน้อยต่างกันไปตามรูปแบบการงานและการใช้ชีวิตของแต่ละคน บางคนเสี่ยงมาก บางคนเสี่ยงน้อย คงไปบังคับว่าต้องจัดการความเสี่ยงแบบนั้นทำประกันแบบนี้ไม่ได้ เพราะภัยที่กล่าวถึงนี้ยังไม่เกิดและไม่มีใครล่วงรู้อนาคตได้อย่างแม่นยำ แต่ถ้าภัยนั้นเกิดขึ้นและอาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิต ทรัพย์สินและความเป็นอยู่ของคนรอบข้างได้ ดังนั้นเรื่องของการทำประกันหรือลดทอนความเสี่ยงในขั้นพื้นฐาน เราควรจัดการทำไว้บ้าง มีมากทำมาก มีน้อยทำน้อยตามกำลังก็ยังดี และถือเป็นการฝึกนิสัยที่ดีเกี่ยวกับการจัดการวางแผนการเงินที่ดีด้วย จงมองภัยเป็นเพื่อน ถ้ามาก็พร้อมรับมือ ถ้าไม่มาภัยไม่มีก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี