กำแพงคนโง่เป็นเรื่องของคนที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองโง่ สิ่งที่ตัวเองยังไม่รู้กลับนึกว่าตัวเองรู้แล้วเข้าใจแล้วเป็นอย่างดี มีเรื่องเล่าถึงนักศึกษาเภสัชกลุ่มหนึ่ง อาจารย์ให้ดูสารคดีที่ถ่ายทอดรายละเอียดคู่สามีภรรยา ตั้งแต่การตั้งครรภ์จนถึงการคลอด โดยนักศึกษากลุ่มนี้มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ปฏิกิริยาของนักศึกษาหญิงที่ได้ดูสารคดีสะท้อนกลับมาว่า เป็นการเรียนรู้ที่ดีมาก และได้ค้นพบอะไรใหม่ๆมากมาย ในขณะที่นักศึกษาฝ่ายชายทุกคนกลับพูดว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่เรียนรู้มาแล้วจากวิชาสุขศึกษา ในชั้นมัธยม ไม่เห็นมีอะไรแปลกใหม่หรือน่าสนใจตรงไหน แม้จะดูเรื่องเดียวกันแต่ผลตอบกลับนั้นแตกต่างกันคนละขั้ว เรื่องเล่านี้น่าสนใจตรงที่ เรื่องเดียวกันทำไมถึงมีผลตอบกลับต่างกัน สรุปว่าปัญหานั้นก็คือ เรื่องของทัศนคติในการรับรู้ข้อมูล ผู้ชายไม่อยากรับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของการคลอด พวกเขาจะมองไม่เห็นถึงสิ่งที่นักศึกษาหญิงได้ค้นพบ เพราะพวกเขาไม่คิดที่จะค้นพบอย่างจริงจัง ซึ่งก็คือ การปิดกั้นข้อมูลที่ตัวเองไม่อยากรู้ กำแพงที่ปรากฏอยู่ในที่นี้ ก็คือกำแพงคนโง่นั่นเอง
ในชีวิตประจำวันของเรา หรือเรื่องของคนรอบตัวเรา มีตัวอย่างเกี่ยวกับกำแพงคนโง่เต็มไปหมด บางเรื่องเป็นเรื่องของความสามัญสำนึก ไม่ใช่เรื่องของการเรียนรู้ เราก็เหมาเอาว่า เรารู้แล้ว ซึ่งนับว่าเป็นอันตราย บางเรื่องไม่ใช่แค่บอกแค่ดูก็จะเข้าใจได้ แต่ต้องเป็นการลงมือทำ ต่อเนื่อง ยาวนาน จึงจะรู้และเข้าใจอย่างแท้จริง ยกตัวอย่างคลอดอีกครั้ง ถ้ามีคนมาให้อธิบายเรื่องความเจ็บปวดขงการเจ็บท้องคลอดเป็นยังไง? จะสามารถอธิบายด้วยการพูดจากปากได้หรือไม่ โยงไปถึงเรื่องการเล่นหุ้น ที่ว่าคนเล่นหุ้นนั้นน่าชื่นอกตรม คนภายนอกดูแล้วเป็นอาชีพที่เท่ห์ รวย แต่หากใครไม่ได้เข้าไปเล่นหุ้นจริงๆ แบบเล่นเอง เจ็บเอง ก็จะไม่มีวันเข้าใจ ไม่เข้าใจว่า แค่ตัดขาดทุนง่ายๆแค่นั้น ทำไมถึงทำกันไม่ได้ ที่เขาว่าเล่นหุ้นแล้วรวย ทำไมคนใกล้ตัวเล่นหุ้นเจ๊งกันซะเป็นส่วนใหญ่
ประโยชน์ของบทความนี้ ช่วยให้เราละเอียดกับความรู้และความเข้าใจของตัวเราที่มีต่อโลกและเรื่องราวต่างๆมากขึ้น การอ่านหนังสือ หรือการฟังเขาเล่ามานั้น ไม่มีวันที่เราจะได้เรียนรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้เท่ากับเราได้ลงมือปฏิบัติและค้นพบด้วยตัวเอง เราจะไม่ตกเป็นเหยื่อของสื่อและกระแสโฆษณาชวนเชื่ออย่างง่ายๆ เราจะไม่แห่ตามกันไปลงทุนกับแชร์ลูกโซ่ และเราจะไม่มักง่ายในการบอกว่ารู้แล้ว เข้าใจแล้วในสิ่งที่เราไม่อยากรู้หรือไม่สนใจ การปิดกั้นตนเองในการรับรู้หรือเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ถือเป็นกำแพงที่เราสร้างขึ้นเพื่อหยุดยั้งการพัฒนาตัวเราเอง
การส่งต่อความรู้ของเราก็เช่นกัน บางครั้งเราคิดว่าสิ่งที่เราได้รับรู้มานั้นเป็นสิ่งที่จริงแท้ ทุกคนต้องเชื่อฟังและทำตาม บางสิ่งเราตั้งใจถ่ายทอดเพราะความหวังดี อยากให้ได้รับประโยชน์กันทุกๆคน แต่สิ่งที่เราบอกกล่าว อธิบายออกไปนั้น แน่ใจได้อย่างไรว่ามันจะจริงต่อคนอื่นด้วย คนอื่นที่มีพื้นฐานความรู้ พื้นฐานทางครอบครัว สังคม ที่ต่างกันกับเรา เรื่องที่เป็นจริงกับเรา อาจไม่จำเป็นต้องจริงด้วยสำหรับคนอื่นๆก็ได้
กล่าวโดยสรุป ความจริงแท้ของโลกนี้มีหลายมิติ สิ่งที่เรารู้และบอกว่าเข้าใจแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะเรามักง่ายตอบออกไปโดยที่ลึกๆแล้วเราไม่สนใจหรือไม่อยากรับรู้เรื่องนั้นๆก็ได้ การมักง่ายตอบออกไปแบบนั้นก็เหมือนกับเราสร้างกำแพงคนโง่ขึ้นมาปิดกั้นการเติบโตทางปัญญาของตัวเอง เช่นกันกับการเรียนรู้จากคนอื่น ไม่แน่เสมอไปว่าสิ่งที่เขาบอกและคิดว่าผู้สอนรู้แล้วนั้น อาจเป็นการรู้แบบผิวเผินก็ได้ หากเราอยากเรียนรู้เรื่องอะไร อย่าได้เพียงแต่ฟังเขาเล่า หรือฟังจากคำอธิบาย แต่ให้ลงมือทำด้วยตนเองจะได้ความรู้ลึก รู้จริงเป็นที่สุดของตัวเอง และความรู้นั้นจะติดตัวเราไปอีกนานแสนนาน