ปิดหนี้เสียกี่เดือน ถึงกู้บ้านผ่าน เคล็ดลับกู้บ้านหลังจากมีประวัติ
การผิดนัดชำระหนี้เป็นหนึ่งในเรื่องที่น่ากลัวที่สุดสำหรับใครก็ตามที่กำลังวางแผนจะขอสินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็น การซื้อบ้าน หรือคอนโดมิเนียม เพราะจะส่งผลกระทบต่อประวัติการเงินและความน่าเชื่อถือของเราอย่างมาก จนอาจทำให้คุณถูกปฏิเสธไม่ได้รับอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน สิ่งที่ต้องทำคือการพยายามทำให้เครดิตกลับมาอีกครั้ง ด้วยการปิดหนี้เสียซะ ก่อนขอสินเชื่อใหม่ ซึ่งในบทความนี้เราจะพามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าผิดนัดชำระหนี้นานแค่ไหนถึงเป็นหนี้เสีย และ ปิดหนี้เสียกี่เดือน ถึงกู้บ้านผ่าน
หนี้เสีย (Non-Performing Loan) คืออะไร
สำหรับสถาบันการเงิน หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ Non-Performing Loan (NPL) หมายถึงบัญชีเงินกู้ที่มีการผิดนัดชำระหนี้เป็นระยะเวลานานเกินกว่าที่กำหนดไว้ ซึ่งรายละเอียดของคำนิยามนี้จะแตกต่างกันไปตามประเภทของสินเชื่อ เช่น
- สินเชื่อส่วนบุคคล เช่น บัตรกดเงินสด สินเชื่อเพื่อการประกอบอาชีพ หากค้างชำระนานเกิน 3 เดือน จะถูกจัดอยู่ในสถานะ NPL
- สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME Loan) หากค้างชำระนานเกิน 90 วัน ก็ถือเป็น NPL
- สินเชื่อที่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อเพื่อการซื้อรถยนต์ หากผิดนัดชำระนานถึง 6 เดือน (180 วัน) จึงจะถูกจัดเป็น NPL
เมื่อบัญชีหนี้ของคุณถูกจัดให้อยู่ในสถานะ NPL แล้ว โอกาสที่คุณจะได้รับอนุมัติสินเชื่อจากแหล่งใหม่ย่อมจะลดน้อยลงอย่างมาก เพราะคุณจะถูกมองว่าเป็นลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงและไม่น่าไว้วางใจ
ขั้นตอนจัดการหนี้ NPL เพื่อเตรียมกู้บ้าน
ถ้าหากคุณกำลังเตรียมตัวที่จะยื่นขอสินเชื่อบ้านใหม่ แต่มีประวัติการผิดนัดชำระหนี้มาก่อน สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกคือการกลับมาแก้ไขสถานะบัญชีให้เป็นปกติเสียก่อน โดยมีขั้นตอนดังนี้
- ชำระหนี้ค้างทั้งหมดให้เรียบร้อย
เป็นสิ่งจำเป็นที่คุณจะต้องผ่อนชำระเงินต้น ดอกเบี้ย ค่าปรับ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ค้างชำระมาทั้งหมดจนครบถ้วนตามจำนวนที่เจ้าหนี้ระบุ เพราะสถาบันการเงินจะไม่ยอมรับการต่อรองหรือขอผ่อนผันในส่วนนี้อย่างเด็ดขาด
- รอให้ครบระยะเวลาตามนโยบายแต่ละธนาคาร
เมื่อคุณได้ชำระหนี้ค้างให้ครบถ้วนแล้ว คุณจำเป็นต้องรอระยะเวลาให้ครบตามที่ธนาคารและสถาบันการเงินแต่ละแห่งได้กำหนดนโยบายเอาไว้ เพื่อให้การลบประวัติ NPL จากบัญชีของคุณเสร็จสิ้น โดยบางแห่งอาจให้รอ 3 เดือน บางแห่ง 6 เดือน และอีกหลายธนาคารรอ 12 เดือนเต็ม
ตัวอย่าง
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าประวัติได้ถูกลบทิ้งแล้ว
หากครบกำหนดระยะเวลาตามที่นโยบายของแต่ละธนาคารกำหนดเอาไว้แล้ว ให้คุณเข้าไปตรวจสอบกับธนาคารหรือสถาบันนั้นๆ เพื่อยืนยันอีกครั้งว่าได้ทำการลบประวัติ NPL จากบัญชีของคุณเรียบร้อยแล้วหรือไม่ หากยังไม่ได้รับการดำเนินการ ให้รีบติดต่อทวงถามจนกว่าจะได้รับการแก้ไขให้เสร็จสิ้น
ปิดหนี้เสียกี่เดือน ถึงกู้บ้านผ่าน
หลังจากที่คุณได้ปรับปรุงสถานะบัญชีให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และไม่มีประวัติ NPL แล้ว คุณก็จะสามารถยื่นขอสินเชื่อสำหรับการกู้ซื้อบ้านใหม่ได้ตามปกติ อย่างไรก็ดี นโยบายของธนาคารบางแห่งอาจให้รอระยะเวลาสักพักก่อน รอประมาณ 1 ปี สำหรับธนาคารที่มีนโยบายกำหนดระยะ “ปลอดภาระหนี้เก่า” ไว้นานพอสมควร เพื่อสังเกตพฤติกรรมการชำระหนี้ของลูกค้าก่อนที่จะอนุมัติสินเชื่อใหม่
รอ 6 เดือน ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่สถาบันการเงินส่วนใหญ่ยึดถือ หลังจากประวัติ NPL ถูกลบทิ้งเรียบร้อยแล้ว
ตัวอย่าง
1. ธนาคารกรุงเทพ: สำหรับสินเชื่อบ้านที่ผิดนัดนาน 6 เดือน ครบกำหนดระยะเวลา 12 เดือน หลังจากชำระหนี้เสร็จแล้ว ประวัติ NPL จึงจะถูกลบออกจากระบบ
2.ธนาคารกสิกรไทย: กรณีสินเชื่อบ้าน หากค้างนาน 180 วัน ต้องรอ 12 เดือน หลังชำระหนี้ NPL ครบ จึงจะถูกลบประวัติ สำหรับบัตรกดเงินสดผิดนัด 90 วัน ระยะรอคือ 3 เดือน
3.ธนาคารไทยพาณิชย์: นโยบายกำหนดให้รอ 12 เดือน หลังจากชำระหนี้ครบถ้วนทุกประเภทแล้ว จึงจะได้รับการลบประวัติ NPL
การวางแผนการเงิน กุญแจสำคัญของการมีบ้าน
จากกรณีตัวอย่างต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น เราจะเห็นได้ว่าการมีประวัติการผิดนัดชำระหนี้ หรือ Non-Performing Loan นั้นสามารถสร้างอุปสรรคให้กับการดำเนินชีวิตและการวางแผนทางการเงินของคุณได้อย่างมาก โดยเฉพาะการลงทุนซื้อบ้านหรือที่อยู่อาศัยด้วยสินเชื่อจากธนาคาร
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนจะต้องให้ความใส่ใจและวางแผนการใช้จ่ายเงินอย่างรอบคอบ เพื่อหลีกเลี่ยงจากการประสบภาวะหนี้สินล้นพ้นตัว ซึ่งอาจจะนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้จนถูกจัดอยู่ในสถานะ NPL ได้ในที่สุด นอกจากนี้ การมีพฤติกรรมการผ่อนชำระหนี้อย่างสม่ำเสมอและตรงตามกำหนดก็ยังเป็นการสร้างประวัติทางการเงินที่ดีให้กับตัวคุณเองอีกด้วย
หากคุณยังมีประสบปัญหาเรื่องการชำระหนี้ค้างชำระ หรือต้องการคำแนะนำ และคำปรึกษาในรายละเอียดเพิ่มเติม การติดต่อปรึกษาที่ปรึกษาด้านการเงินผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญจากธนาคาร และสถาบันการเงินโดยตรง น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหา