ปรับโครงสร้างหนี้ ธนาคารเดิม ได้กี่ครั้ง อัปเดตปี 2567
ในปี 2567 หลายคนกำลังเผชิญกับปัญหาหนี้สินที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดจากผลกระทบของสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ทวีคูณความยากลำบากในการจัดการกับหนี้สินที่สะสมขึ้น การเผชิญกับหนี้สินที่มีขนาดใหญ่ หรืออัตราดอกเบี้ยสูงอาจทำให้บางคนต้องพิจารณาการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อให้การจัดการกับหนี้สินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืน การปรับโครงสร้างหนี้เป็นทางเลือกที่หลายคนพิจารณาเพื่อลดภาระการผ่อนชำระหนี้ หรือลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ในวันนี้เราจะมาดูกันว่า ปรับโครงสร้างหนี้ ธนาคารเดิม ได้กี่ครั้ง อัปเดตปี 2567 เพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างหนี้ และรายละเอียดที่น่าสนใจสำหรับคนต้องการแก้หนี้ให้หมดโดยไว
การปรับโครงสร้างหนี้ คืออะไร
การปรับโครงสร้างหนี้ เป็นการเปลี่ยนเงื่อนไขการจ่ายหนี้เพื่อให้เรายังสามารถจ่ายหนี้ได้โดยไม่ผิดนัดชำระ ซึ่งการผิดนัดชำระหนี้อาจทำให้ลูกหนี้ถูกคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระและมีประวัติค้างจ่ายในข้อมูลเครดิตบูโร เช่น ลดค่างวดโดยการขยายเวลาจ่ายหนี้ หรือเปลี่ยนเงื่อนไขการจ่ายหนี้เพื่อลดภาระดอกเบี้ย ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างหนี้แต่ละวิธีมีผลแตกต่างกันต่อประวัติในเครดิตบูโร จึงขอให้สอบถามสถาบันการเงินในประเด็นนี้ด้วยก่อนตัดสินใจ
ปรับโครงสร้างหนี้ ธนาคารเดิม ได้กี่ครั้ง
การขอปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารเดิมเป็นกระบวนการที่สำคัญในการจัดการกับหนี้สินที่มีอยู่ การปรับโครงสร้างหนี้ช่วยลดภาระการผ่อนชำระหนี้หรือปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ให้เหมาะสมกับสภาพการเงินของผู้กู้ และช่วยให้การจัดการกับหนี้สินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งโดยปกติแล้ว ธนาคารจะพิจารณาอนุมัติการปรับโครงสร้างหนี้ได้ 1 ครั้งต่อลูกหนี้ 1 ราย อีกทั้งลูกค้าสามารถขอปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารเดิมได้ ไม่เกิน 2 ครั้ง แต่บางธนาคารอาจพิจารณาให้ลูกค้าขอปรับโครงสร้างหนี้ได้มากกว่า 2 ครั้ง หากเห็นว่าลูกหนี้มีศักยภาพในการชำระหนี้ได้จริง และมีความจำเป็นต้องได้รับการปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มเติม พร้อมพิจารณาจากปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติม
เงื่อนไขการปรับโครงสร้างหนี้ มีอะไรบ้าง?
การปรับโครงสร้างหนี้เป็นกระบวนการที่สำคัญในการจัดการกับหนี้สินที่มีอยู่ โดยการปรับโครงสร้างหนี้ช่วยลดภาระการผ่อนชำระหนี้หรือปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ให้เหมาะสมกับสภาพการเงินของผู้กู้ อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างหนี้มีเงื่อนไขที่สำคัญที่ต้องปฏิบัติตามเพื่อให้การปรับโครงสร้างหนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
- ศักยภาพในการชำระหนี้: ลูกหนี้ต้องแสดงศักยภาพในการชำระหนี้ได้จริง
- ความจำเป็น: ลูกหนี้ต้องมีความจำเป็นต้องได้รับการปรับโครงสร้างหนี้
- ปฏิบัติตามเงื่อนไข: ลูกหนี้ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับโครงสร้างหนี้ที่ตกลงกับธนาคาร
- การผ่อนชำระหนี้: ลูกหนี้ต้องผ่อนชำระหนี้ตามเงื่อนไขที่กำหนด
- การรายงานผล: ลูกหนี้ต้องรายงานผลการชำระหนี้ตามกำหนด
- การปรับเงื่อนไข: ธนาคารอาจปรับเงื่อนไขการปรับโครงสร้างหนี้ตามความจำเป็น
แนวทางการช่วยลูกหนี้ด้วยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
- ตั้งแต่ 1 ม.ค. 67 ลูกหนี้รายย่อยและ SMEs (ที่ไม่เคยผ่านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้มาก่อน) เมื่อเริ่มมีปัญหาการชำระหนี้จะได้รับการเสนอแนวทางปรับโครงสร้างหนี้ที่สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้และเหลือเงินเพียงพอในการดำรงชีพ โดยผู้ให้บริการต้องเสนอแนวทางการช่วยเหลือ (product program) สำหรับลูกหนี้ที่เริ่มมีปัญหาชำระหนี้ แต่ยังไม่เป็นหนี้เสีย (NPL) อย่างน้อย 1 ครั้ง และสำหรับลูกหนี้ NPL อีกอย่างน้อย 1 ครั้ง โดยจะไม่ถูกโอนขายหนี้ก่อน 60 วัน นับจากวันที่ผู้ให้บริการเสนอเงื่อนไขปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้
- ลูกหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่เป็นหนี้ค้างชำระเกิน 120 วัน สามารถเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ได้ โดยได้รับการปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ให้ผ่อนเฉพาะเงินต้นนานสูงสุด 10 ปี อัตราดอกเบี้ยเพียง 3-5% ต่อปี และยกดอกเบี้ยค้างเดิมให้เมื่อชำระครบตามสัญญา (เฉพาะเจ้าหนี้ที่เข้าร่วมโครงการ)
- ธปท.ยังมีช่องทางเสริมเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ ได้แก่ ทางด่วนแก้หนี้ สำหรับประชาชนขอความช่วยเหลือด้านการผ่อนชำระหนี้ และหมอหนี้เพื่อประชาชน ที่ให้คำปรึกษาการแก้ปัญหาหนี้อย่างครบวงจรแก่ลูกหนี้รายย่อยและ SMEs
ขั้นตอนการขอปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารเดิม
การขอปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารเดิมเป็นกระบวนการที่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่เคร่งครัดเพื่อให้การปรับโครงสร้างหนี้เป็นไปอย่างเรียบง่ายและประสบความสำเร็จ ดังนั้น ขั้นตอนที่ถูกต้องและครบถ้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำ โดยเราสามารถเริ่มต้นขอปรับโครงสร้างได้ ตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. ประเมินสถานการณ์ทางการเงินของคุณ
จุดเริ่มต้นสำคัญคือการ วิเคราะห์สถานการณ์ทางการเงิน ของคุณ จดบันทึกรายรับ-รายจ่าย รวมถึงยอดหนี้สินทั้งหมด ประเภทของหนี้ อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาผ่อนชำระ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจภาพรวม และวางแผนแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้ได้อย่างเหมาะสม
2. ติดต่อสถาบันการเงินเจ้าหนี้
เมื่อทราบข้อมูลครบถ้วนแล้ว ติดต่อสถาบันการเงินเจ้าหนี้ แจ้งความประสงค์ขอปรับโครงสร้างหนี้ อธิบายสถานการณ์ทางการเงินของคุณ และแสดงความตั้งใจจริงในการแก้ไขปัญหา เจ้าหน้าที่จะประเมินข้อมูล และเสนอแนวทางที่เหมาะสมกับคุณ
3. เตรียมเอกสารที่จำเป็น
เอกสารที่จำเป็นสำหรับการขอปรับโครงสร้างหนี้ โดยทั่วไปจะประกอบด้วย
- สำเนาบัตรประชาชน
- ทะเบียนบ้าน
- สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 6 เดือน
- หนังสือรับรองการจ้างงาน
- สัญญาเงินกู้
- เอกสารแสดงรายได้อื่นๆ (ถ้ามี)
4. พิจารณาแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้
สถาบันการเงินอาจเสนอแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้ที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของคุณ ตัวอย่างแนวทางที่พบบ่อย ได้แก่
- การลดจำนวนเงินผ่อนชำระต่อเดือน: ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย แต่ระยะเวลาผ่อนชำระจะยาวนานขึ้น
- การขยายระยะเวลาผ่อนชำระ: ช่วยลดจำนวนเงินผ่อนชำระต่อเดือน แต่ต้องจ่ายดอกเบี้ยรวมทั้งหมดมากกว่าเดิม
- การเปลี่ยนแปลงประเภทของสินเชื่อ: เปลี่ยนจากสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง ไปเป็นสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ
- การรวมหนี้: รวมหนี้สินหลายก้อนเข้าด้วยกัน เพื่อผ่อนชำระกับสถาบันการเงินเดียว ช่วยให้บริหารจัดการง่ายขึ้น
5. เปรียบเทียบข้อเสนอจากสถาบันการเงินต่างๆ
หากติดต่อสถาบันการเงินหลายแห่ง เปรียบเทียบข้อเสนอที่ได้รับ พิจารณาจากอัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาผ่อนชำระ ค่าธรรมเนียม และเงื่อนไขอื่นๆ เลือกข้อเสนอที่ตรงกับความต้องการของคุณมากที่สุด
6. ศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจสัญญาอย่างละเอียด
ก่อนเซ็นสัญญา อ่านรายละเอียด เงื่อนไข และผลกระทบต่างๆ ให้เข้าใจอย่างถี่ถ้วน ถามคำถามจนแน่ใจ เพื่อป้องกันปัญหาในภายหลัง
7. ปฏิบัติตามแผนการชำระหนี้อย่างเคร่งครัด
เมื่อตกลงกับสถาบันการเงินแล้ว ปฏิบัติตามแผนการชำระหนี้ อย่างเคร่งครัด แบ่งสันปันส่วนรายได้ จัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีวินัย เพื่อบรรลุเป้าหมายในการปลดหนี้
8. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน
หากมีข้อสงสัยหรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ที่สามารถช่วยวิเคราะห์สถานการณ์ วางแผน และประสานงานกับสถาบันการเงิน เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สินที่เหมาะสมกับคุณ
ใครที่อยากขอปรับโครงสร้างนี้ เราควรศึกษาข้อมูลและนโยบายการปรับโครงสร้างหนี้ของธนาคารแต่ละแห่งอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจสมัคร พร้อมทั้งเปรียบเทียบข้อเสนอ เงื่อนไข และผลกระทบต่าง ๆ เพื่อเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของตัวเองมากที่สุด