ใช้บัตรเครดิต รูดจ่ายปลอดภัย ให้รอดจากกับดักทางการเงิน
บัตรเครดิต ถือเป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประโยชน์มากมาย แต่หากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง ก็อาจนำไปสู่ปัญหาหนี้สินที่รุนแรงได้ ในบทความนี้ เราจะมาแนะนำ 6 วิธี ใช้บัตรเครดิต รูดจ่ายปลอดภัย เพื่อให้เราได้รับประโยชน์สูงสุดโดยไม่ต้องกังวลเรื่องหนี้สิน
1.วางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ
การวางแผนการใช้จ่ายเป็นกุญแจสำคัญในการใช้บัตรเครดิตอย่างรับผิดชอบ ไม่ว่าเราจะมีรายได้เท่าไหร่ การวางแผนจะช่วยให้เราควบคุมการใช้จ่ายได้ดียิ่งขึ้น เริ่มต้นด้วยการจัดทำงบประมาณรายเดือน โดยแบ่งรายได้ของเราเป็นหมวดหมู่ต่าง ๆ เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าสาธารณูปโภค ค่าใช้จ่ายส่วนตัว และเงินออม การทำเช่นนี้จะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของการใช้จ่ายและสามารถจัดสรรเงินได้อย่างเหมาะสม
หลังจากที่เรารู้ว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างในแต่ละเดือน ให้กำหนดวงเงินที่เราจะใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต โดยพิจารณาจากรายได้ของเรา ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องใช้บัตรเครดิต และความสามารถในการชำระหนี้ ตัวอย่างเช่น หากเรามีรายได้ 30,000 บาทต่อเดือน เราอาจกำหนดวงเงินการใช้บัตรเครดิตไว้ที่ 10,000 บาท ซึ่งคิดเป็น 1/3 ของรายได้
การติดตามการใช้จ่ายเป็นสิ่งสำคัญมาก เราสามารถทำได้โดยบันทึกทุกรายการที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในสมุดบันทึกหรือแอปพลิเคชัน ตรวจสอบยอดใช้จ่ายผ่านแอปของธนาคารหรือผู้ให้บริการบัตรเครดิตเป็นประจำ และเปรียบเทียบยอดใช้จ่ายจริงกับวงเงินที่กำหนดไว้ การติดตามการใช้จ่ายจะช่วยให้เรารู้ว่าใช้ไปเท่าไหร่แล้วและช่วยป้องกันการใช้จ่ายเกินตัว
2.ตรวจสอบยอดเสมอ และจ่ายยอดเต็มทุกเดือน
วิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงหนี้บัตรเครดิตคือการจ่ายยอดเต็มทุกเดือน นี่เป็นกฎทองที่ผู้ใช้บัตรเครดิตอย่างชาญฉลาดทุกคนยึดถือ เริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจรอบบิลและวันครบกำหนดชำระของบัตรเครดิตแต่ละใบที่เรามี จดบันทึกวันที่ปิดยอดและวันครบกำหนดชำระของแต่ละบัตร และทำความเข้าใจว่าธุรกรรมที่ทำในช่วงไหนจะขึ้นมาในบิลเดือนไหน
การตั้งเตือนวันครบกำหนดชำระเป็นสิ่งสำคัญ เราสามารถใช้แอปพลิเคชันปฏิทินในสมาร์ทโฟนตั้งเตือนวันครบกำหนดชำระ โดยตั้งเตือนล่วงหน้า 3-5 วันก่อนถึงวันครบกำหนด เพื่อให้มีเวลาเตรียมเงิน หากใช้หลายบัตร ให้ตั้งเตือนแยกกันเพื่อป้องกันความสับสน
การจัดสรรเงินสำหรับชำระบัตรเครดิตเป็นสิ่งสำคัญ แบ่งเงินเดือนส่วนหนึ่งไว้สำหรับชำระบัตรเครดิตโดยเฉพาะ และฝากเงินส่วนนี้ไว้ในบัญชีแยกต่างหาก เพื่อไม่ให้ปะปนกับเงินใช้จ่ายอื่น ๆ หากเป็นไปได้ ให้เก็บเงินไว้มากกว่ายอดใช้จ่ายที่คิดไว้เล็กน้อย เผื่อกรณีฉุกเฉิน
หากธนาคารหรือผู้ให้บริการบัตรเครดิตมีบริการชำระเงินอัตโนมัติ ให้พิจารณาใช้บริการนี้ โดยตั้งค่าให้หักเงินจากบัญชีเพื่อชำระยอดเต็มทุกเดือน แต่ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีเงินในบัญชีเพียงพอสำหรับการชำระอัตโนมัติ
ตรวจสอบยอดค้างชำระอย่างสม่ำเสมอ โดยเข้าไปดูยอดค้างชำระในแอปหรือเว็บไซต์ของผู้ให้บริการบัตรเครดิตเป็นประจำ หากพบว่ามียอดค้างชำระที่ผิดปกติ ให้ติดต่อธนาคารทันที และตรวจสอบว่าการชำระเงินของเราถูกต้อง
3.ใช้บัตรเครดิตเฉพาะรายการที่จำเป็น และวางแผนไว้แล้ว
การใช้บัตรเครดิตอย่างมีวินัยเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการเป็นหนี้ วิธีที่ดีที่สุดคือการใช้บัตรเครดิตเฉพาะสำหรับรายการที่จำเป็นและวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วเท่านั้น เริ่มต้นด้วยการกำหนดรายการที่จำเป็นต้องใช้บัตรเครดิต เช่น ค่าใช้จ่ายประจำอย่างค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าเดินทางอย่างค่าน้ำมันและค่าทางด่วน ค่าอาหารและของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวัน รวมถึงค่ารักษาพยาบาลหรือยาในกรณีฉุกเฉิน
วางแผนการใช้จ่ายล่วงหน้าโดยจัดทำรายการสิ่งที่ต้องซื้อหรือจ่ายในแต่ละเดือน กำหนดงบประมาณสำหรับแต่ละรายการ และพยายามยึดตามแผนที่วางไว้ หากมีรายการใช้จ่ายที่นอกเหนือจากแผน ให้พิจารณาอย่างรอบคอบว่าจำเป็นจริง ๆ หรือไม่ก่อนตัดสินใจใช้บัตรเครดิต
ใช้เงินสดหรือบัตรเดบิตสำหรับค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นหรือฟุ่มเฟือย เช่น การซื้อเสื้อผ้าใหม่ การรับประทานอาหารนอกบ้าน หรือการซื้อของใช้ฟุ่มเฟือย การใช้เงินสดจะทำให้เรารู้สึกถึงมูลค่าของเงินมากขึ้นและช่วยควบคุมการใช้จ่ายได้ดีกว่า
หลีกเลี่ยงการใช้บัตรเครดิตสำหรับการซื้อของที่มีราคาแพงเกินไปหรือเกินกำลังของเรา หากมีความจำเป็นต้องซื้อของที่มีราคาสูง ให้วางแผนการออมเงินล่วงหน้าแทนการใช้บัตรเครดิต
4.เข้าใจอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมของบัตรเครดิต
ศึกษาอัตราดอกเบี้ยของบัตรเครดิตที่เราใช้ โดยทั่วไปแล้ว บัตรเครดิตมักมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าสินเชื่อประเภทอื่นๆ ซึ่งอาจอยู่ที่ประมาณ 15-20% ต่อปีหรือมากกว่านั้น
ทำความเข้าใจวิธีการคำนวณดอกเบี้ย โดยปกติแล้ว ดอกเบี้ยจะคำนวณจากยอดคงค้างรายวัน ซึ่งหมายความว่ายิ่งเราค้างชำระนานเท่าไหร่ ดอกเบี้ยก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ ให้สังเกตว่าบัตรเครดิตของเรามีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย (grace period) ไหม ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 15-45 วันหลังจากวันสรุปยอด หากเราชำระยอดเต็มภายในระยะเวลานี้ เราจะไม่ต้องเสียดอกเบี้ย
นอกจากดอกเบี้ยแล้ว ยังมีค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่เราควรรู้ ได้แก่
- ค่าธรรมเนียมรายปี: บางบัตรอาจมีค่าธรรมเนียมรายปี ในขณะที่บางบัตรอาจยกเว้นค่าธรรมเนียมนี้
- ค่าปรับการชำระเงินล่าช้า: หากเราชำระเงินล่าช้ากว่าวันที่กำหนด เราอาจต้องเสียค่าปรับ
- ค่าธรรมเนียมการเบิกเงินสดล่วงหน้า: การกดเงินสดจากบัตรเครดิตมักมีค่าธรรมเนียมสูงและมีดอกเบี้ยที่เริ่มคิดทันทีโดยไม่มีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย
- ค่าธรรมเนียมการใช้บัตรในต่างประเทศ: หากเราใช้บัตรเครดิตในต่างประเทศ อาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
ศึกษาเงื่อนไขและข้อกำหนดของบัตรเครดิตอย่างละเอียด โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม หากมีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะสอบถามจากผู้ให้บริการบัตรเครดิตของเรา
เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมของบัตรเครดิตแต่ละใบที่เรามี และพิจารณาว่าบัตรใดเหมาะสมกับรูปแบบการใช้จ่ายของเรามากที่สุด หากเรามีบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมสูงเกินไป อาจพิจารณาเปลี่ยนไปใช้บัตรที่มีเงื่อนไขดีกว่า
5.เข้าใจการจ่ายบิลบัตรเครดิต
รู้จัก Statement date (วันสรุปยอด) คือวันที่ธนาคารสรุปยอดการใช้จ่ายทั้งหมดในรอบบัญชีนั้นๆ เป็นวันที่ธนาคารจะออกใบแจ้งยอดค่าใช้จ่าย โดยปกติจะเป็นวันเดียวกันทุกเดือน และ Due date (วันครบกำหนดชำระ) คือวันสุดท้ายที่ผู้ถือบัตรต้องชำระเงินตามยอดในใบแจ้งหนี้ มักจะอยู่หลัง Statement date ประมาณ 15-25 วัน ขึ้นอยู่กับธนาคาร หากชำระหลังวันนี้ อาจมีค่าธรรมเนียมการชำระล่าช้าและดอกเบี้ย
6.สร้างนิสัยการออมควบคู่กับการใช้บัตรเครดิต
การสร้างนิสัยการออมเงินเป็นสิ่งสำคัญควบคู่ไปกับการใช้บัตรเครดิตอย่างรับผิดชอบ การมีเงินออมไม่เพียงแต่จะช่วยให้เรามีความมั่นคงทางการเงินมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการพึ่งพาบัตรเครดิตในยามฉุกเฉินอีกด้วย
เริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายการออมรายเดือนที่ชัดเจนและสมเหตุสมผล โดยพิจารณาจากรายได้และค่าใช้จ่ายของเรา ตัวอย่างเช่น เราอาจตั้งเป้าหมายที่จะออมเงิน 10-20% ของรายได้ในแต่ละเดือน การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้เรามีแรงจูงใจในการออมมากขึ้น
การใช้บัตรเครดิต รูดจ่ายปลอดภัย ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป แค่เราต้องมีวินัย รู้จักวางแผน และใช้บัตรอย่างฉลาด บัตรเครดิตก็จะกลายเป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประโยชน์มาก ๆ เลยทีเดียว โดยสรุปคือเริ่มจากการวางแผนการเงิน ใช้จ่ายแต่พอดี จ่ายยอดเต็มทุกเดือน ระวังดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม ใช้คะแนนสะสมและโปรโมชั่นให้คุ้ม หลีกเลี่ยงการกดเงินสด และเช็คยอดใช้จ่ายบ่อย ๆ ที่สำคัญ อย่าลืมว่าบัตรเครดิตเป็นแค่เครื่องมือทางการเงิน ความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากการใช้จ่าย แต่มาจากการมีชีวิตที่พอเพียงและมั่นคงทางการเงินต่างหาก