ผู้เขียนเชื่อว่าหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของการทำงานของทุกคนนอกเหนือไปจากการได้เงินเดือนเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัวแล้ว ก็คือเรื่องของมั่นคงในตำแหน่งและหน้าที่การงานด้วย หากเราสนุกและมีความสุขกับงาน งานนั้นสามารถทำแล้วเลี้ยงชีพ สร้างความมั่นคง เป็นหลักประกันให้กับชีวิตได้ เราก็คงจะอยากยึดงานนั้นไว้ทำตลอดชีวิตช่วงที่เหลือของเราต่อไป ไม่อยากที่จะให้มีการเปลี่ยนแปลง
แต่ความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน อย่างที่เราทราบกันดี หน้าที่การงานแม้ว่าจะมีความมั่นคงเพียงใดก็ตาม แต่ก็มีความเสี่ยงกับภาวะเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน หากว่าบริษัทไม่สามารถปรับตัวให้สอดรับกับภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนของโลกได้ โอกาสของงานที่มั่นคงที่เราจะฝากความหวังและชีวิตไว้ได้ก็จะหลุดลอยไปด้วย
ไม่ใช่จะมีแต่เพียงเรื่องของเศรษฐกิจเท่านั้นที่จะมีผลกับความมั่นคงในการงานของเรา ลักษณะงานของเราก็มีผลกับความมั่นคงในอาชีพของเราด้วยเช่นกัน หากว่างานของเรานั้นเป็นงานประจำวันที่ทำซ้ำ ๆ กันทุกวัน เป็นงาน routine ที่ไม่ต้องมีการคิดตัดสินใจ หรือเป็นงานที่ใช้แต่เพียงแรงงานเท่านั้น โอกาสที่งานของเราจะถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีก็จะยิ่งสูงขึ้นไปด้วย เพราะเทรนด์ของการที่บริษัทต่าง ๆ จะหันมาใช้เทคโนโลยีช่วยในการทำงานบางอย่างนั้นมีมากขึ้น ถือเป็นการลดต้นทุนระยะยาวจากการที่ต้องจ้างแรงงานที่เป็นคนที่นับวันต้นทุนก็มีแต่เพิ่มสูงขึ้น
เราไปดูกันไหมคะว่ามีงานอะไรบ้าง ที่มีความเสี่ยงที่จะถูกปลดในอนาคตโดยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาทดแทนได้
-
พนักงานธนาคาร
โลกการเงินที่กำลังก้าวเข้าสู่นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ให้ผู้ใช้บริการสามารถรับบริการเองได้แทบทุกอย่างผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือมือถือสมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะเป็นการฝาก ถอน หรือโอนเงิน ทำให้พนักงานธนาคารมีงานทำน้อยลง จนปัจจุบันต้องเปลี่ยนจากงานบริการไปทำงานขายผลิตภัณฑ์ของธนาคารมากขึ้น แต่ต่อไปเมื่อลูกค้ามีความรู้มากขึ้น มีช่องทางให้ซื้อผลิตภัณฑ์ของธนาคารได้เองโดยไม่ต้องผ่านพนักงานธนาคาร พนักงานธนาคารก็จะยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีและระบบการเงินที่ทันสมัยและเป็นอัตโนมัติ ที่ลูกค้าสามารถทำเองได้
-
แคชเชียร์
พนักงานเก็บเงินตามซูเปอร์มาร์เก็ตก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่มีความเสี่ยงในการถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีได้เช่นเดียวกัน ปัจจุบันเราจะพอเห็นได้บ้าง อย่างเทสโก้ โลตัสจะมีช่องให้ชำระเงินด้วยตนเอง หรือที่เรียกว่า Self-Checkout โดยที่ไม่ต้องมีแคชเชียร์ยืนประจำอยู่ แนวโน้มอนาคตข้างหน้าก็จะมีแบบนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
-
บรรณารักษ์ / เจ้าหน้าที่ห้องสมุด
เมื่อหนังสือทุกเล่มในห้องสมุดถูกจัดเก็บด้วยระบบคอมพิวเตอร์ มีการใช้ระบบการยืม-คืน ด้วยบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ใช้บริการสามารถทำทุกขั้นตอนได้ด้วยตัวเอง อาชีพบรรณารักษ์ห้องสมุดก็จะมีความสำคัญน้อยลง อีกทั้งคนยุคใหม่มีแนวโน้มที่จะค้นหาอะไรด้วยตัวเองได้ อย่างเช่น หนังสือในห้องสมุด โดยที่ไม่ต้องคอยถามจากเจ้าหน้าที่ ก็จะทำให้อาชีพนี้มีความเสี่ยงที่จะค่อย ๆ มีน้อยลงไป
-
พนักงานเสิร์ฟ
ปัจจุบันเราจะเห็นร้านอาหารหลายร้านที่หันมาใช้วิธีให้ลูกค้าบริการตัวเองด้วยการสั่งอาหารผ่านไอแพด หรือผ่านหน้าจอระบบคอมพิวเตอร์ที่โต๊ะ พนักงานเสิร์ฟจะมีหน้าที่น้อยลงคือแค่เสิร์ฟอาหารเท่านั้น ไม่ต้องคอยจดออเดอร์อีกต่อไป จำนวนพนักงานก็จะไม่ต้องใช้มากเหมือนแต่ก่อน บางร้านนอกจากให้ลูกค้าสั่งอาหารผ่านทางหน้าจอแล้ว ยังให้ลูกค้าเดินไปหยิบอาหารเองที่เคาน์เตอร์เมื่อพร้อมด้วย อนาคตแน่นอนว่าจะมีร้านอาหารแนวนี้เพิ่มมากขึ้น
-
เจ้าหน้าที่หลักทรัพย์
สมัยที่การซื้อขายหุ้นยังไม่เป็นที่นิยมเท่ากับทุกวันนี้ เจ้าหน้าที่หลักทรัพย์จะมีบทบาทมากในการให้คำแนะนำลูกค้าและรับคำสั่งซื้อหรือขาย ถึงกับมียุคที่เรียกคนในอาชีพนี้ว่าเป็นมนุษย์ทองคำเนื่องจากมีรายได้มหาศาลจากค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขาย แต่ปัจจุบันนี้โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว นักลงทุนมีความรู้มากขึ้นไม่ต้องอาศัยคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่หลักทรัพย์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป อีกทั้งการซื้อขายหุ้นก็สามารถทำเองได้ผ่านทางอินเทอร์เน็ต เสียค่าคอมมิชชั่นน้อยลงด้วย มีหลายบริษัทหลักทรัพย์ที่ใช้หุ่นยนต์หรือ Robot เพื่อตัดสินใจซื้อขายหุ้นให้กับลูกค้า เจ้าหน้าที่หลักทรัพย์จึงถือเป็นอีกหนึ่งอาชีพเสี่ยงที่จะถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีในที่สุด
-
นักบิน
ปัจจุบันเครื่องบินที่บินกันอยู่ทุกวันก็อยู่ในโหมดของการบินแบบอัตโนมัติหรือ auto-pilot กันอยู่แล้ว แต่ที่นักบินยังความมีความจำเป็นอยู่ก็เนื่องจากการต้องเผชิญกับปัญหาเฉพาะหน้าและการต้องตัดสินใจเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น ซึ่งถ้าเมื่อไหร่ที่มีการพัฒนาระบบให้รองรับกับปัญหาของการบินได้แล้วล่ะก็ อาชีพนักบินก็เสี่ยงที่จะตกงานได้เหมือนกัน แม้ว่าคงอีกนานหน่อยเพราะก็ไม่ได้ง่ายนักที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้โดยสารในการเดินทางไปกับเครื่องบินที่บินอัตโนมัติแบบไม่มีนักบินเลย แต่ก็มีความเป็นไปได้เหมือนกัน
-
พนักงานในโรงงาน
ที่จริงแล้วงานในโรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ก็ถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีหรือหุ่นยนต์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่าง Bank of America ก็ได้ออกมาเผยถึงตัวเลขว่าในปี 2025 ที่จะถึงนี้จะมีการใช้หุ่นยนต์ทำงานในโรงงานมากถึงร้อยละ 45 จากปัจจุบันที่อยู่ที่ร้อยละ 10 นั่นก็เป็นเพราะงานโรงงานส่วนใหญ่จะเป็นงานที่ใช้แรงงาน ทำเหมือนเดิมซ้ำ ๆ กันตลอด ไม่ต้องคิดหรือตัดสินใจอะไร จึงเรียกได้ว่าเป็นงานที่มีความเสี่ยงมากที่สุดที่จะถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีเชียวล่ะค่ะ
-
พนักงานทำความสะอาด
ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา เราน่าจะยังไม่มีโอกาสได้เห็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่มีรูปร่างกลม ๆ ที่สามารถทำงานทั้งดูดฝุ่นและถูบ้านแทนแม่บ้านได้เหมือนอย่างในปัจจุบัน เจ้าหุ่นยนต์นี้เองทำให้ครอบครัวยุคใหม่ไม่จำเป็นต้องจ้างแม่บ้านทำความสะอาดบ้านอีกต่อไป ในอนาคตมีโอกาสที่จะมีการพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์เพื่อช่วยทำความสะอาดบ้านที่มากกว่าการดูดฝุ่นและถูบ้านอีก การล้างรถก็เช่นกัน ปัจจุบันธุรกิจล้างรถหลายแห่งก็หันมาใช้เทคโนโลยีเครื่องจักรในการล้างรถมากขึ้น ทำให้ใช้แรงงานคนน้อยลง
เป็นอย่างไรบ้างคะ มีอาชีพไหนตรงกับอาชีพที่เรากำลังทำอยู่บ้างหรือไม่ หรือหากไม่มี แต่เมื่อทบทวนดูเห็นว่างานที่เราทำอยู่นั้นมันก็ซ้ำ ๆ กันทุกวัน ไม่ได้ต้องคิดหรือตัดสินใจ หรือใช้ความสามารถเฉพาะอะไรมากนัก ก็หมายความว่าอาชีพนั้นก็มีความเสี่ยงได้เหมือนกันค่ะ เด็กรุ่นใหม่ ๆ ที่กำลังเรียนหนังสือ และต้องเลือกทางเดินชีวิตสำหรับการทำงานในอนาคต ก็ควรคำนึงถึงเรื่องของลักษณะงานที่จะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีได้นี้ก่อนที่จะตัดสินใจว่าเราอยากทำอาชีพอะไร เพื่อลดความเสี่ยงที่จะถูกปลดหรือถูกหุ่นยนต์มาแย่งงานของเราไป
ขอบคุณข้อมูลจาก