ความโลภ คือสิ่งที่เราทุกคนต่างมีอยู่ในตัว ถึงแม้คนเราทุกคนจะมีความโลภอยู่ในตัวเหมือน ๆ กัน แต่สิ่งที่ความโลภของแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน นั่นก็คือ ปริมาณและรูปแบบของความโลภ บางคนมีความโลภน้อย อยากได้แค่นิดหน่อยพอแล้ว แต่บางคนกลับมีความโลภมาก เห็นอะไรก็อยากได้ไปหมด จนกระทั่งพอการหาสิ่งใดด้วยตนเองเริ่มไม่เพียงพอต่อการตอบสนองความโลภ เขานั้นก็จะเริ่มไปเบียดบังคนอื่น เอาเปรียบคนอื่น เป็นต้น ส่วนรูปแบบของความโลภจะมีในแต่ละคนไม่เหมือนกันเช่นกัน บางคนโลภความรู้ บางคนโลภความรัก บางคนโลภสิ่งของ บางคนโลภอสังหาริมทรัพย์ แต่สิ่งหนึ่งที่เชื่อว่าคนทุกคนน่าจะโลภเหมือนกัน นั่นก็คือ โลภในทรัพย์สินเงินทอง อาจจะโลภมาก หรือโลภน้อยก็ขึ้นอยู่กับตัวของแต่ละคน แต่คาดว่าคงจะไม่มีใครที่ไม่โลภเงิน หมายความว่า ไม่สนใจว่าเงินจะมีอยู่เท่าไร เมื่อเงินหมดก็ไม่คิดจะหามาใช้อย่างแน่นอน
ทีนี้ อย่างที่บอกไปว่าแต่ละคนล้วนมีปริมาณความโลภในทางการเงินไม่เท่ากัน บางคนอาจจะเห็นว่า มีเงินเก็บแค่ 10 ล้าน ก็ถือว่าประสบความสำเร็จทางการเงินแล้ว แต่บางคนเห็นว่าแค่ 10 ล้านยังไม่พอ ต้องมีเงินมากกว่า 100 ล้าน จึงจะถือว่าประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว และเชื่อเถิดว่า ต่อให้คน ๆ หนึ่ง สามารถเก็บเงินได้ถึงหมื่นล้านแสนล้าน มากกว่าที่เคยตั้งเป้าไว้ในอดีตสัก 2 เท่าได้ เขาคนนั้นก็ยังคงต้องเกิดความโลภ อยากเก็บเงินให้มากขึ้น ๆ ต่อไปอีกแน่นอน ทำให้หากเราจะสรุปความต้องการทางเงินของมนุษย์แต่ละคนให้เป็นตัวเลขที่แน่นอนแล้วละก็ คงจะไม่มีใครสามารถสรุปได้
การจะวัดความสำเร็จทางการเงินได้นั้น ไม่ได้หมายความว่าคนที่เก็บเงินไว้กับตัวตลอดเวลาตั้งแสนล้าน พันล้าน หรือคนที่มีเงินใช้อู้ฟู่ราวกับพระราชาจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จทางการเงินแต่อย่างใด หากแต่จุดชี้วัดความสำเร็จทางการเงิน คือจุดที่เราเห็นว่าเงินมีการหมุนเวียนเข้า-ออก บัญชีเป็นประจำ โดยเงินที่หมุนเข้าบัญชีต้องมีปริมาณเพียงพอต่อการใช้จ่ายด้านปัจจัย 4 ให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไม่ดูฟุ่มเฟือย ไม่ดูอนาถาและยังเพียงพอที่จะสามารถเก็บไว้เป็นทุน สำหรับลงทุนในด้านอื่น ๆ ต่อไปอีก ในขณะที่เงินส่วนที่หมุนออกจากบัญชีก็ต้องมีปริมาณเพียงพอที่จะทำให้เงินเกิดการงอกเงย และหมุนกลับเข้าบัญชีในปริมาณที่มากกว่า หรือพอ ๆ กับที่หมุนเข้าบัญชีไปในครั้งก่อน โดยเงินส่วนที่หมุนออกไปนี้ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องนำไปใช้ลงทุนเพียงอย่างเดียว อาจจะเป็นการนำไปใช้ดำรงชีวิตเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตัวเราสามารถหาเงินต่อไปได้ก็ได้
ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ไม่ว่าจะเป็นส่วนเงินหมุนเข้า หรือส่วนเงินหมุนออกก็ตาม ต้องมีปริมาณใกล้เคียงกัน ไม่มีส่วนใดมากเกินไป หรือส่วนใดน้อยเกินไป เพราะหากมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่มากหรือน้อยเกินไป จะทำให้เสถียรภาพทางการเงินสูญเสียไป เช่น ส่วนเงินหมุนออกมีมาก แต่ส่วนเงินหมุนเข้ามีน้อย กรณีนี้ย่อมทำให้เกิดภาวะ “ถังแตก” หรือมีเงินไม่เพียงพอกับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และการลงทุนต่าง ๆ ในขณะที่หากเงินหมุนเข้ามีปริมาณมาก แต่เงินหมุนออกมีน้อย ย่อมประสบกับปัญหาที่เงินไม่เกิดการงอกเงยหรือถึงจะงอกเงยก็น้อย และสิ่งที่จะตามมาคือภาวะเงินเฟ้อ หรือภาวะที่เงินบาทมีค่าน้อยกว่าปัจจัยในการดำรงชีวิตประจำวัน ทำให้ถึงแม้จะเก็บเงินได้มาก แต่เงินนั้นก็ใช้ประโยชน์ได้น้อยลงไปทุกวัน ๆ อย่างนี้ เป็นต้น
เพราะฉะนั้น การจะชี้วัดว่าตัวเราหรือใครคนอื่นประสบความสำเร็จทางการเงินหรือไม่ จึงไม่ใช่การวัดว่าใครมีเงินเก็บมากกว่ากัน หรือใครมีสภาพความเป็นอยู่ที่กินดี อยู่ดีมากกว่ากัน
หากแต่คือการชี้วัดว่าใครสามารถบริหารจัดการเงินที่มีอยู่ได้ดี จัดการเงินหมุนเข้า-เงินหมุนออกได้มีเสถียรภาพมากกว่ากันต่างหาก ต่อให้ใครสักคนหนึ่งมีเงินเริ่มต้นอยู่แค่ 10,000 บาท แต่ถ้าเขารู้จักการบริหารจัดการ ทำให้เงินหมุนเข้ามีเพียงพอและเงินหมุนออกงอกเงยได้ เขาก็ย่อมถือว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่มีเงินเก็บกว่าแสนล้าน ล้านล้าน แต่บริหารจัดการเงินไม่ดี เงินหมุนเข้าเยอะ เงินหมุนออกไม่งอกหรือเงินหมุนออกเยอะ แต่ทำอะไรก็เจ๊งจนไม่มีเงินหมุนเข้า ซึ่งผลที่จะตามมาหลังจากที่เกิดสภาวการณ์ประสบความสำเร็จทางการเงินแล้ว ก็คือ เงินจะค่อย ๆ งอกเงยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างที่แม้จะถูกใช้ไปบ้าง แต่ก็สามารถเติมกลับมาได้ ในขณะที่หากไม่ประสบความสำเร็จในการจัดการเงิน สิ่งที่จะตามมาก็คือเงินหมดไปเรื่อย ๆ อย่างที่ไม่สามารถจะหามาให้ได้เท่าเดิมอีก