“อุฏฺฐาตา กมฺมเธยฺเยสุ อปฺปมตฺโต วิธานวา สมํ กปฺเปติ ชีวิตํ สมฺภตํ อนุรกฺขติ
ผู้ขยันในหน้าที่การงาน ไม่ประมาท เข้าใจจัดการ เลี้ยงชีวิตพอสมควร จึงรักษาทรัพย์ที่หามาได้ หลักธรรม 4 ประการนี้ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนตั้งแต่สมัยพระพุทธกาล ธรรมดาบุคคล ย่อมมีชีวิตอยู่ได้ด้วยปัจจัย ๔ เพราะถ้าไม่เช่นนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องขวนขวายประกอบอาชีพ เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการก็คือ มีเงิน มีรายได้ เมื่อต้องการเราก็ต้องขยันทำงานตามหน้าที่ของเราอย่างไม่ประมาทหรือปล่อยให้การงานนั้นคั่งค้าง เมื่อทำงานถูกกาลตามสมควร ลงมือทำและทำอย่างขยันขันแข็ง ย่อมให้การงานนั้นสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
ผู้ขยันนั้นจะต้องเป็นคนทำงานอยู่เสมอ ไม่เป็นคนอยู่เฉยๆ คือไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงไปโดยเปล่าประโยชน์ คนขยันไม่ประมาทแล้วจะต้องรู้จักทำงานให้มีระเบียบแบบแผน มิใช่สักแต่ว่าทำเท่านั้น เวลาหาทรัพย์หาได้แล้วจะต้องรู้จักเลี้ยงชีพให้พอเหมาะพอควร คือต้องคำนึงถึงรายได้ รู้จักจ่ายให้พอเหมาะกับรายได้ทรัพย์ที่หามาได้จึงพอเหลือและจะต้องส่งเสริมให้มีนิสัยรักและบำรุงรักษาทรัพย์สินของตนให้ปลอดภัยและเพิ่มพูนขึ้นโดยลำดับ
เพราะฉะนั้น คนขยันจะต้องประกอบการงานอยู่เสมอและจะต้องทำงานที่เหมาะจึงจะหาทรัพย์ได้ เมื่อมีทรัพย์ก็จะต้องรู้จักใช้จ่ายทรัพย์ เข้าใจจัดการแบ่งส่วนรายได้ให้เหมาะสม แล้วเลี้ยงชีวิตให้พอสมควรไม่ให้ขัดสนจนเกินไปและไม่ฟุ่มเฟือยจนเกินไป เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ย่อมรักษาทรัพย์ที่หามาได้ ถ้ารู้จักแต่หาทรัพย์แต่ไม่รู้จักรักษาทรัพย์ที่หามาได้แล้ว ก็ได้ชื่อว่าตั้งตนอยู่ในความประมาทไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสังคมปัจจุบัน ตามความจริงของธรรมชาติ ไม่ว่าจะอาชีพไหน เป็นแม่ค้า เป็นพ่อค้า เป็นหมอ ต่างต้องทำมาหากิน ต้องหาเงิน ต้องใช้จ่ายเงินทองที่หามา จึงไม่เป็นเรื่องน่าแปลกที่เราจะต้องมีหลักธรรมเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินเงินทองเป็นแนวทาง หนทางหนึ่งที่จะช่วยให้เรารับมือกับการเปลี่ยนแปลงความไม่แน่นอนให้มั่นคง ก็คือการสร้างเกราะคุ้มกัน หรือกำลังใจให้ตัวเองแข็งแกร่ง นี้ทำได้ไม่ยากนัก
อ่านเพิ่มเติม >> อุ อา กะ สะ คาถาเศรษฐี <<

เริ่มต้น อุฏฺฐาตา กมฺมเธยฺเยสุ
หลักธรรมนี้ว่าด้วยการหารายได้ ที่ต้องขยันทำงาน คงต้องลองพิจารณาให้รอบคอบอีกสักครั้งหนึ่งว่าเราขยันแล้วหรือยัง แล้วเราขยันอย่างฉลาดหรือไม่ เราทำงานอย่างมีประสิทธิภาพแล้วหรือยัง การทำงานเยอะๆ แบบขาดประสิทธิภาพอาจจะไม่ให้ผลผลิตที่ดี บางครั้งการเป็นผู้ที่ขยันอย่างเดียวไม่พอเราต้องพัฒนาความคิดปัญญาของเราเองว่ามาถูกตามทางที่วางไว้หรือไม่ คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปไหม นอกจากนี้ การขยันทำงานยังต้องรวมไปถึงการขยันพัฒนางานที่ทำอยู่ด้วย คือหมั่นหาความรู้เพิ่มเติม และพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างคุณภาพงานและความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
ข้อต่อมา อปฺปมตฺโต วิธานวา
ต้องไม่ประมาท เพราะความประมาททำให้เกิดความเสื่อม ความเสียหาย ทั้งเสื่อมเสียทรัพย์สิน เสียชื่อเสียง เสียสุขภาพ เสียงานเสียการ ซึ่งความประมาทที่เป็นตัวการสำคัญ เป็นเหตุแห่งความเสื่อมเสียทรัพย์สิน ก็คือ อบายมุขทั้งหกประการ ได้แก่ การเล่นพนันรวมทั้งแทงบอลซื้อหวย การดื่มสุรายาเสพติด การเที่ยวกลางคืน การคบเพื่อนไม่ดี การเกียจคร้านในการทำงาน และการดูหนัง ดูละครเป็นประจำ อบายมุขทั้งหกนี้ ใครต้องการมีทรัพย์ไว้ใช้ในบั้นปลายชีวิต ต้องการรักษาทรัพย์สินไว้ให้ลูกให้หลานใช้ในอนาคตต้องหลีกให้ไกล
ข้อสำคัญ สมํ กปฺเปติ ชีวิตํ
จัดการรักษาทรัพย์ ก็คือ ต้องฉลาดในการจัดการ ยิ่งในยุคดอกเบี้ยต่ำ น้ำมันแพง ข้าวของแพง เงินเฟ้อสูงแบบนี้ ยิ่งต้องฉลาด ต้องหาวิธีวางแผนและจัดการเงินของเราอย่างรอบคอบ อาจจะใช้หลัก โภควิภาคสี่ มาลองจัดการแบ่งเงินเป็นสี่ส่วน โดยส่วนที่หนึ่งไว้สำหรับใช้จ่ายเลี้ยงชีพ และเลี้ยงดูพ่อแม่ ส่วนที่สองและส่วนที่สามให้รวมกันแล้วใช้ในการประกอบการงานอาชีพ และส่วนสุดท้ายให้กันไว้ใช้ในยามจำเป็น
ข้อสุดท้าย สมฺภตํ อนุรกฺขติ
ต้องรู้จักเลี้ยงชีพแต่พอดี ไม่ใช้จ่ายเกินฐานะ ต้องรู้จักใช้เงินให้น้อยกว่าที่หาได้เสมอ ยิ่งในยุคสังคมนิยมบริโภคอย่างในปัจจุบัน ยิ่งต้องระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น เพราะมีสิ่งเร้ามากมาย ทั้งลดแลกแจกแถม โปรโมชั่นพิเศษที่คอยเชิญชวนให้เราจับจ่ายใช้สอยตลอดเวลา รวมทั้งการซื้อก่อนผ่อนทีหลังก็ทำได้ง่ายดายแสนสบายชวนให้เป็นหนี้ได้ทั้งที่ไม่จำเป็น