งานแต่งงาน งานบวช งานศพ งานอื่นๆที่แจกการ์ดแจกซอง หลายคนปฏิเสธไม่ได้จะไปหรือไม่ได้แต่ได้ซองมาแล้วก็ต้องมีน้ำใจใส่เงินช่วยงานกันไปบ้าง หรือมีการบอกกล่าวก็ต้องฝากซองกันไปช่วยงาน แต่เคยรู้กันบ้างไหมว่าเดี๋ยวนี้มาตรฐานของการใส่ซองเขานิยมใส่กันเท่าไหร่ ขั้นต่ำเท่าไหร่กันแล้วลองมาวิเคราะห์กันดูเพราะเชื่อว่าบางครั้งหลายคนอึดอัดกับการได้รับแจกการ์ดหรือซองต่างเหล่านี้ บางคนไปช่วยงานไปด้วยใจแต่เงินน้อย ไปงานใส่ซองกี่บาทดี เจ้าภาพถึงจะไม่เคือง
เรื่องเงินเรื่องของมันของบาดใจแม้จะเพื่อนกันก็ตาม การไปงานมงคล งานบุญ หรืองานต่างๆที่ได้มีการบอกกล่าวและแจกการ์ดแน่นอนว่าคนที่ไปนิยมใส่เงินให้เป็นของขวัญหรือร่วมบุญ ในสมัยก่อนคือใส่กันตามความพร้อมใส่ให้ด้วยใจและมารยาทมีมากใส่มากมีน้อยใส่น้อยไม่มีการคิดว่ามันน่าเกลียดนั่นมันสมัยคุณยายไปงานฟรีๆยังไม่มีใครว่าเลย แต่พอมาอีกยุคมาตรฐานสังคมเปลี่ยนเศรษฐกิจเปลี่ยนการใส่เงินในซองก็ต้องเปลี่ยนไปบางคนใส่ตามความเหมาะสมเช่นไปงานกินเลี้ยงไปทั้งครอบครัวก็ใส่เยอะหน่อยไม่ให้ดูน่าเกลียด ไปคนเดียวก็ใส่น้อยหน่อย หรือบางคนใส่ตามความสนิทและฐานะ ซึ่งยุคนั้นก็เข้าใจกันได้ไม่ค่อยมีการนินทาจากเจ้าภาพเท่าไหร่นักหากไม่น่าเกลียดเกินไปเช่น ไปกินงานโต๊ะจีนไปทั้งบ้านใส่มา 200 อะไรประมาณนี้ซึ่งสมัยหนึ่งมันเป็นแบบนี้ แต่ยุคนี้บอกตรงๆว่าไปงานไหนใส่ซองตั้ง 500 นี่เจ้าภาพยังเคืองแล้วเคืองอีกมีหลายคนเป็นแบบนี้และเคยได้ยินกับหูมาแล้ว
ลองมาฟังที่คุณยายบ่นๆกัน >> คุณยายอยากเล่า ตอน เดี๋ยวนี้มีแต่น้ำเงิน ไม่มีน้ำใจ <<
เรื่องเงินใส่ซองปัจจุบันถือเป็นเรื่องหน้าตากันแล้วหรือเป็นเรื่องบ่งบอกฐานะไปงานไหนใส่ต่ำกว่า 500 แล้วเขียนชื่อหน้าซองเตรียมโดนดูถูกได้เลยแม้เราตั้งใจจะช่วยทำบุญ ตั้งใจที่ให้แต่ด้วยความไม่พร้อมบางคนใส่ได้แค่นั้น หรือบางคนใส่ตามมารยาทขั้นต่ำมักจะอยู่ที่ 500 บาทเจ้าภาพบางคนแกะซองมาแทบเบ้ปากมองบนกันเลยทีเดียว เพราะอะไรเพราะค่าจัดงานมันแพงบางคนจัดงานก็หวังเงินจากซองมาแบ่งเบาภาระ และธรรมเนียมไทยใครช่วยซองมาต้องจดชื่อกันไว้ทำบันทึกไว้เพราะเวลาเขามีงานก็จะใส่ซองช่วยกลับ บางคนจดไว้ว่าใครให้เท่าไหร่ถึงเวลาเขามีงานก็ใส่ซองกลับเท่าที่เขาให้มาหรือให้มากกว่า ซึ่งเรื่องนี้ถามคนแก่ๆดูได้ธรรมเนียมเป็นแบบนี้จริงๆ สำหรับคนที่พอมีฐานะเขาจัดงานก็อาจไม่หวังเงินจากส่วนนี้ใครใส่เท่าไหร่เขาจะไม่สนใจแต่จดไว้ว่าใครช่วยมาบ้างแค่รายชื่อไม่ดูจำนวนเงินเพื่อจะได้ช่วยกลับคืนในครั้งหน้า แต่คนที่หวังเงินแน่นอนว่าจดทุกอย่างและเป็นที่มาของการนินทากันลับหลังใครใส่น้อยใครใส่เยอะ
แม้ว่าการใส่ซองจะต้องเป็นเรื่องที่ใครจะใส่ยังไงก็ได้ตามกำลังตามศรัทธาหรือตามมารยาทแน่นอนว่า ปัจจุบันเงิน 500 บาทก็ถือว่าน้อยเพราะค่าครองชีพสูงทำให้หลายคนมองว่าช่วยมาแค่นี้อ่ะนะแค่ 500 แต่สำหรับคนใส่มันอาจจะเป็นใส่ไปตั้ง 500 เชียวนะ เห็นไหมว่าการตีค่ามันผิดกัน
ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีผิดหรือถูกว่าต้องใส่เท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม อยากบอกว่าเรื่องของเงินใส่ซองในงานต่างๆนั้น เอาแค่ตามมารยาทและความเหมาะสมไม่ให้น่าเกลียดเกินไปหรือโอเว่อร์มากเกินไปแล้วแต่ว่าใครจะพร้อมใส่ที่เท่าไหร่และต้องดูด้วยว่าเป็นงานแบบไหน ยกตัวอย่างเช่น หากไปงานแต่งก็มักจะใส่กันที่ 1,000 บาทกำลังดูเหมาะสมและต้องให้ลงเลขคู่แต่หากใครมีเงินน้อยก็ใส่ที่ 400,600,800 กำลังเหมาะให้ลงเลขคู่ไว้ตามความเชื่อ ซึ่งเจ้าภาพไม่ควรคิดว่าใครจะให้เท่าไหร่แกะซองมาจะน้อยหรือมากก็ไม่ควรนินทาลับหลังหรือเล่าบอกใครๆว่าคนนั้นให้เท่านี้คนนี้ให้เท่านั้นเพราะมันน่าเกลียดและจะถูกมองว่าจัดงานหวังซอง แต่หากงานอื่นๆใส่ขั้นต่ำ 500 สำหรับสังคมเมืองก็ดูจะเหมาะสมเพราะไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป หรือบางคนอาจคิดว่าใส่มากก็ไม่มีใส่น้อยก็โดนนินทา
ทางออก คือ ไม่ไปร่วมงานก็ได้หรือฝากซองกับคนอื่นๆไปใส่เท่าที่ใส่ได้ก็ไม่น่าเกลียดเพราะไม่ได้ไปร่วมงานนี่คือการแสดงน้ำใจเจ้าภาพก็นินทาไม่ได้เพราะไม่ได้ไปกินของในงาน ไม่ได้รับของชำร่วย เท่ากับคนที่ฝากซองไปเขาให้ฟรีๆแล้วนะก็ไม่ควรจะว่าลับหลัง ซึ่งเรื่องแบบนี้มีเกิดขึ้นจริงๆ แถมเจ้าภาพบางงานเลือกที่จะเชิญแขกอีกต่างหากซึ่งมันก็ไม่ผิด แต่พอมานึกๆดูเงินนี่มันกลายเป็นเรื่องที่ทำให้ตัดสินคนไปในตัวได้เหมือนกัน มีเงินก็ว่าดีไม่มีเงินก็ว่าไม่น่าคบสังคมมันตลกร้ายจริงๆ นะผู้อ่านว่าไหม