ท่ามกลางสังคมในยุคปัจจุบันที่ทุกอย่างมีการอำนวยความสะดวกมากมาย เทคโนโลยีต่างๆที่ช่วยให้เราจัดการเรื่องต่างๆในชีวิตเราให้มีระบบระเบียบในการวางแผนการในแต่ละวัน เดือน หรือปี ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนการทำงาน การวางแผนนัดพบลูกค้า การวางแผนออกกำลังกาย หรือ ว่างแผนที่จะไปเที่ยวต่างประเทศ แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญในชีวิตของมนุษย์เดือน รวมเป็นถึงผู้ประกอบการและทุกคนๆ นั้นก็คือเรื่องของการวางแผนทางการเงิน ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับอนาคตแต่เรากลับมองข้าม เราต้องเริ่มทำให้เร็วที่สุดเพราะอะไรนั้นผมจะยกตัวอย่างให้ดูครับ
เมื่อเราเริ่มคิดที่จะออมเงินในแบบฉบับมนุษย์เงินเดือนทั่วๆไปนั้น เรามักจะคิดว่าเราต้องให้ถึงสิ้นเดือนก่อนแล้วเหลือเงินเท่าไรค่อยฝากเข้าเป็นเงินเก็บในบัญชธนาคาร โดยส่วนใหญ่จะทำไม่ค่อยได้และไม่ค่อยที่จะมีเหลือเก็บถึงสิ้นเดือนด้วยซ้ำซึ่งผมก็เป็นคนส่วนใหญ่ที่พอถึงสิ้นเดือนมักไม่ค่อยมีเงินเหลือเก็บเช่นกัน เนื่องมาจากผมนั้นยังไม่เห็นถึงความสำคัญของการเก็บเงินและยังเป็นเรื่องที่ไกลตัวอีกด้วย แต่ด้วยกระแสของตลาดหุ้นที่ร้อนแรงในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานั้นทำให้ผมเริ่มสนใจในตลาดหลักทรัพย์และได้เริ่มเข้ามาสนเรื่องการวางแผนทางการเงินโดยทั้งสองอย่างเกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก ผมจะขอพูดถึงการวางแผนทางการเงินก่อนแล้วจะนำเสนอว่าเกี่ยวข้องกับการลงทุนในหุ้นยังไงครับ โดยทั่วไปเมื่อเราคิดจะออมเงินเราต้องมักจะคิดถึงตอนที่เราเกษียณแล้วเนื่องจากเราจะไม่มีรายได้จากการทำงาน โดยสมมุติว่าผมอายุ 25ปี ต้องการมีเงินใช้จ่ายในแต่ละเดือนหลังอายุ 60 ปี เดือนละ 20,000 บาท จนกระทั่งอายุ 90 ปี ผมจะต้องมีเงินเก็บ 7,200,000 บาท
เงินที่ใช้ในแต่ละเดือน | จำนวนเดือน | ระยะเวลา | เงินที่ต้องมี |
20,000 | 12 | 30 ปี | 7,200,000 |
แต่ว่าในความเป็นจริงนั้นข้าวของแต่ละอย่างที่เราซื้อจะมีราคาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่นเราเคยซื้อข้าวจานละ 20 บาท ปัจจุบันเราซื้อจานละ 30 บาท ซึ่งนี้เป็นผลมาจากค่าเงินที่เราเรียกว่า เงินเฟ้อ ดังนั้นมูลค่าของเงินที่เราจะต้องเก็บจะต้องมีมูลค่ามากขึ้นตามค่าเงินที่เฟ้อ โดยใช้อัตตราเงินเฟ้อ 3% ซึ่งหมายความว่าผมจะต้องมีเงินตอนอายุ 60 เป็นเงิน 20.3 ล้านบาท!!!!
เงินที่ต้องการหลังเกษียณ | เงินเฟ้อ | ระยะเวลา | ค่าเงินในอนาคต |
7,200,000 | 3% | 35 ปี | 20,259,809 |
อ่านเพิ่มเติม : คำนวณเงินเฟ้อ มูลค่าของเงินตอนนี้กับ 50 ปีก่อน ต่างกันแค่ไหน ?
แค่เห็นตัวเลขจากการคำนวณ ก็ไม่อยากที่จะคิดเรื่องการเก็บเงินต่อแล้วใช่ไหมละครับเพราะตัวเลขที่คิดขึ้นมาได้นั้นมันเยอะมากจนกระทั้งไม่อยากที่จะคิดปล่อยให้ตัวผมในอานคตเป็นคนจัดการ แต่มันเป็นแค่แผนการคราวๆทำให้เรามีเป้าหมายเพราะเงินจำนวนนี้หมายถึงเราใช้อย่างเดียวโดยไม่เอาเงินจำนวนนี้ไปทำอะไรเลย แต่ในชีวิตจริงเราอาจจะให้เงินส่วนนี้ทำอะไรเพื่อเงินหมุนเวียนก็เป็นได้อย่างน้อยก็ฝากแบงค์ยังได้ดอกเบี้ย ที่นี้เราลองมาคำนวณหาวิธีการเก็บเงิน
เงินที่ต้องการหลังเกษียณ | ระยะเวลา | ระยะเวลา | เงินเก็บต่อเดือน |
20,259,809 | 35 ปี | 578,852 | 48,238 |
การคิดการเก็บแบบนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์เงินเดือนธรรมดาอย่างผมจะสามารถเก็บเงินได้เดือนละเกือบ 50,000 บาท ผมเลยต้องไปหาวิธีการเก็บเงินด้วยวิธีอื่นที่มีผลตอบแทนแบบต่างๆ เพื่อจะได้ลดระยะเวลาในการเก็บเงิน
จากตารางผลตอบแทนการลงทุนของตลาดหลักทรัพย์จะทำให้เรารู้ได้ว่า การออมเงินดว้ยวิธีต่างๆไม่ว่าจะเป็นการซื้อทองเก็บเอาไว้ การฝากเงินธนาคาร หรือว่าการซื้อพันธบัตรรัฐบาล และการลงทุนในหุ้นในตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนเท่าไรกันบ้าง ซึ่งเมื่อเห็นผลตอบหลังจากหักอัตราเงินเฟ้อแล้วจะทำให้เรารู้ได้ว่าการฝากเงินกับธนาคารนั้นให้ผลตอบแทนที่ติดลบไม่คุ้มค่ากับการลงทุนที่สุด ส่วนผลตอบแทนที่ดีที่สุดนั้นก็คือตลาดหุ้น ดังนั้นในผลจึงสนใจในการเลือกลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มากกว่าสินทรัพย์อื่นๆ ผมจึงลองเอาผลตอบแทนต่างๆมาคำนวณใหม่อีกครั้งเพื่อที่จะหาเงินเก็บต่อเดือนว่าควรเป็นเท่าไร เพื่อที่จะได้เงินจำนวน 20,259,809 บาท ภายในเวลา 35 ปี
ผลตอบแทนต่อปี | 5% | 10% | 15% | 17% |
เงินเก็บต่อเดือน | -฿17,832.89 | -฿5,336.25 | -฿1,380.36 | -฿781.92 |
จะเห็นได้ว่าถ้าที่ระดับผลตอบแทนต่างๆนั้น เงินที่ใช้สำหรับการออมเพื่อการลงทุนนั้นแต่ต่างกันมาก ซึ่งถ้าในระดับผลตอบแทนเฉลี่ยเท่าตลาดหลักทรัพย์นั้น ดูพอจะทำให้การวางแผนออมเงินสำหรับการเกษียณของผมนั้นผมจะเป็นจริงขึ้นมาได้เพราะผมจะใช้เงินสำหรับการลงทุนต่อเดือนเพียงเดือนละ 782 บาทต่อเดือน แต่ในอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กับผลตอบแทนที่ได้จากลงทุนนั้นก็คือระยะเวลาสำหรับการลงทุน
ระยะเวลา(ปี) | 20 | 25 | 30 | 35 |
เงินเก็บต่อเดือน | -฿10,157.03 | -฿4,280.88 | -฿1,825.14 | -฿781.92 |