หลายคนที่ทำธุรกรรมเกี่ยวกับสินเชื่อ ย่อมต้องรู้จักอัตราดอกเบี้ยในการทำธุรกรรมต่างๆ ซึ่ง ดอกเบี้ย MMR ก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่บางคนอาจไม่รู้ว่า ดอกเบี้ย MRR คืออะไร มีความแตกต่างจาก MOR และ MLR อย่างไรบ้าง มาความรู้จักกับดอกเบี้ยชนิดนี้กัน
ก่อนอื่น ต้องมาทำความรู้จักกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกันก่อน โดยปกติแล้วอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในรูปของร้อยละต่อปี ซึ่งธนาคารจะเรียกเก็บจากลูกค้าที่กู้เงินกับทางธนาคารเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการให้กู้ ซึ่งดอกเบี้ยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังต่อไปนี้
- อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ (Fixed Rate) เป็นอัตราดอกเบี้ยที่มีการกำหนดตัวเลขเอาไว้โดยเฉพาะ เป็นตัวเลขคงที่ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงเวลาที่กำหนดหรือตลอดช่วงอายุสัญญาเงินกู้ เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงที่ร้อยละ 7 ต่อปี ในสัญญากู้เงินเป็นเวลา 4 ปี ค่างวดที่ต้องผ่อนชำระในแต่ละเดือนก็มีจำนวนคงที่ ไม่เลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลาของสัญญา ซึ่งก็เป็นผลดีอย่างหนึ่ง เพราะไม่ต้องกังวลว่าดอกเบี้ยจะขึ้นสูงจากเดิมเมื่อไหร่นั่นเอง
- อัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว (Floating Rate) หรือ อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง (Reference Rate) เป็นอัตราดอกเบี้ยที่มีการเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลาต่างๆขึ้นอยู่กับต้นทุนของธนาคารในขณะนั้น ซึ่งลูกค้าที่กู้เงินต้องติดตามประกาศการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยอยู่เสมอ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยชนิดนี้ที่รู้จักและได้ยินกันอยู่บ่อยมีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด คือ MLR,MOR และ MRR
- MLR มาจากคำว่า Minimum Loan Rate เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ที่มีกู้เงินระยะยาวในระยะเวลาที่แน่นอน อย่างเช่น สินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจ ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันอย่างเพียงพอ,มีประวัติการเงินที่ดี,ชำระหนี้ตรงเวลา เป็นต้น
- MOR มาจากคำว่า Minimum Overdraft Rate เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้าชั้นดี ที่มีการเบิกเงินเกินบัญชี เช่น เบิกเงินเพื่อสร้างสภาพคล่องของธุรกิจในระยะสั้น เป็นต้น
- MRR มาจากคำว่า Minimum Retail Rate เป็นดอกเบี้ยที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี ซึ่ง MRR จัดเป็นดอกเบี้ยที่จัดอยู่ในกลุ่มอัตราดอกเบี้ยลอยตัวที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอัตราการเรียกเก็บตามช่วงเวลาต่างๆแล้วแต่ต้นทุนของธนาคารในแต่ละช่วงเวลานั้นๆ ลูกค้าที่ทำธุรกรรมกับทางธนาคารทราบอัตราดอกเบี้ย MRR ในขณะนั้นด้วยการเข้าไปเช็คที่เว็บไซต์ของทางธนาคารได้โดยตรง
หรืออ่านเพิ่มเติมได้ที่ : MLR, MOR, MRR มันคืออะไรใน ดอกเบี้ยเงินกู้ กันบ้างนะ
การปรับอัตราดอกเบี้ย MRR นั้น ไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าว่าจะปรับขึ้นเมื่อไหร่ บางปีอาจไม่มีการปรับเลย แต่บางปีอาจมีการปรับขึ้นลงหลายครั้ง ซึ่งในการปรับอัตราดอกเบี้ยแต่ละครั้งจะมีผลต่อเงินค่างวดที่ต้องชำระในแต่ละเดือน ที่ในตอนแรกเงินค่างวดอาจจะน้อย แต่เมื่อมีการปรับดอกเบี้ย MMR ขึ้น ก็ทำให้ต้องจ่ายเงินค่างวดเพิ่มขึ้นด้วย
ความถี่ของการปรับอัตราดอกเบี้ย MMR จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาวะการแข่งขันของตลาด,ต้นทุนของธนาคาร และนโยบายในการบริหารทรัพย์สินและหนี้สินของทางธนาคาร ดังนั้นการปรับอัตราดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นได้เสมอ และไม่อาจทราบเวลาได้แน่นอน
มาถึงตอนนี้ผู้กู้หลายคนก็คงจะนึกอยากได้อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่มากกว่า เพราะทำให้การบริหารค่าใช้จ่ายทำได้ง่าย เงินผ่อนชำระค่างวดคงที่ แต่ทั้งนี้ก็ต้องเข้าใจว่ายิ่งลูกค้ากู้เงินระยะยาวมากเท่าไร ธนาคารก็ต้องรับความเสี่ยงมากยิ่งขึ้นเพราะอัตราดอกเบี้ยในอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ดังนั้นการปรับอัตราดอกเบี้ย MRR จึงเป็นไปตามต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นของธนาคาร แต่ข้อดีของอัตราดอกเบี้ยลอยตัว MRR ก็มีเหมือนกันคือ ถ้าปีไหนที่อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลดลง ก็จะทำให้อัตราดอกเบี้ยถูกลง เงินที่ต้องจ่ายค่างวดก็ลดลงอีกด้วย
อย่างในปี พ.ศ. 2559 นี้ ที่ทางธนาคารออมสินประกาศลดอัตราดอกเบี้ย MMR ลง 0.35% ต่อปี เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจและให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและ SMEs โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน 2559
โดยผู้อำนวยการธนาคารออมสิน นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ได้เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย MMR หรือ Minimum Retail Rate ที่เป็นดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่มีประวัติการชำระเงินดี ลดลงอีก 0.35 % ต่อปี จากเดิมที่อยู่ในอัตรา 7.475 % ต่อปี เหลืออยู่ที่อัตรา 7.125 % นอกจากนี้ยังประกาศลดอัตราดอกเบี้ย MLR หรือ Minimum Lending Rate ในอัตรา 0.2 % ต่อปี กล่าวคือ จากเดิมที่อัตราดอกเบี้ย MLR 6.700 % ต่อปี เหลือเพียงอัตรา 6.500 % ต่อปี ซึ่งธนาคารออมสินซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสถาบันการเงินที่มีนโยบายในการสนับสนุนการลงทุนและพัฒนาประเทศ รวมถึงช่วยส่งเสริมรากฐานของเศรษฐกิจของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จึงมีนโยบายลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันด้วย