เป็นความจริงที่ว่าในการซื้อรถใหม่แต่ละครั้ง ผู้ซื้อมักคำนึงถึงราคาของรถยนต์ที่ต้องการซื้อเป็นหลักเท่านั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว การซื้อรถใหม่แค่ละครั้งมักมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แฝงอยู่มากมาย ทั้งภาษี ค่าประกันภัยรถยนต์ ค่าบำรุงรักษา ค่าน้ำมัน หรือแม้แต่ค่าที่จอดรถหากเจ้าของรถไม่มีพื้นที่จอดรถเป็นของตนเองอีกด้วย ซึ่งหากไม่ระมัดระวังหรือวางแผนทางการเงินให้ดี ก็อาจทำให้เจ้าของรถต้องประสบปัญหาทางการเงินได้ง่าย ๆ เลยทีเดียว
ดังนั้นในการซื้อรถแต่ละคันจึงควรวางแผนทางการเงินโดยคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่าง ๆ ดังนี้
-
ค่าใช้จ่ายตัวรถยนต์
แน่นอนว่าในการซื้อรถยนต์แต่ละคันราคาของรถยนต์นั่นย่อมเป็นตัวตัดสินใจในการซื้อรถยนต์แต่ละครั้ง แต่นอกจากยี่ห้อ รุ่นและขนาดของเครื่องยนต์ที่เป็นตัวกำหนดราคาของรถยนต์แล้ว กำลังในการชำระเงินดาวน์และเงินผ่อนของผู้ใช้รถก็มีผลต่อค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ด้วยเช่นกัน เพราะยิ่งมีกำลังในการลงเงินดาวน์ที่สูง เงินผ่อนต่อเดือนสูงหรือระยะเวลาในการชำระเงินผ่อน ค่าใช้จ่ายในส่วนของดอกเบี้ยก็จะยิ่งลดลง ตัวอย่างเช่น หากสามารถลงเงินดาวน์ได้ที่ 15% และสามารถผ่อนชำระได้หมดภายในระยะเวลา 48 งวด ก็จะมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 55% เท่านั้น แต่หากลงเงินดาวน์ได้น้อยกว่า 15% แม้ว่าจะชำระได้ภายใน 48 งวดเท่ากัน อัตราดอกเบี้ยก็จะขึ้นไปอยู่ที่ 2.80% เลย ดังนั้นการเพิ่มเงินดาวน์หรือลดงวดชำระก็จะช่วยให้ยอดรวมค่าใช้จ่ายรวมในการซื้อรถยนต์ลดลงตามไปด้วย แต่ก็ไม่ควรหวังแต่ยอดเงินที่ลดลงไปเพียงอย่างเดียว เพราะหากยอดเงินผ่อนสูงเกินกำลังความสามารถในการผ่อนชำระก็อาจทำให้ยิ่งทำให้เจ้าของรถประสบภาระทางการเงินที่ย่ำแย่มากขึ้นได้อีกด้วย (ข้อมูลเงินดาวน์และอัตราดอกเบี้ยมาจาก www.thanachartbank.co.th
-
อัตราภาษีรถยนต์
ซึ่งอัตราการเสียภาษีของรถยนต์จะแตกต่างกันไปตามแต่ละรุ่น ชนิดและขนาดของเครื่องยนต์นั่นเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผู้สนใจจะซื้อรถควรศึกษาเอาไว้บ้างเพื่อช่วยให้สามารถทราบค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละปีนั่นเอง เพราะภาษีรถยนต์นั้นเจ้าของรถจะต้องทำการชำระทุกปี ปีละครั้ง โดยอัตราภาษีจะขึ้นกับจะแบ่งตามขนาดของเครื่องยนต์และจำนวนปีที่ใช้งาน โดยรถยนต์ขนาด 600 ซีซีแรก คิดที่ซีซีละ 0.50 บาท ส่วนขนาด 601 – 1,800 ซีซีคิดที่ซีซี ๆ ละ 1.50 บาท แต่หากเกิน 1,800 ซีซีขึ้นไป คิดที่ซีซี ๆ ละ 4.00 บาท และรถที่อายุเกิน 5 ปี จะมีอัตราภาษีที่ลดลงไปเรื่อย ซึ่งสามารถติดตามข้อมูลได้จาก dlt.go.th ได้นั่นเอง
-
ค่าซ่อมบำรุงรถยนต์
แม้ว่ารถยนต์จะเป็นรถคันใหม่เอี่ยมเพียงใดก็จำเป็นต้องได้รับการบำรุงรักษาตามความจำเป็น ทั้งการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง การเปลี่ยนล้อรถ การดูแลรักษาอะไหล่ต่าง ๆ ของเครื่องที่จะต้องดูแลตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งการดูแลรักษาเหล่านี้ล้วนเป็นค่าใช้จ่ายที่เจ้าของรถจำเป็นจะต้องตั้งวงเงินสำรองเอาไว้ด้วย เพราะรถทุกคันโดยเฉพาะรถใหม่จะมีช่วงระยะเวลาที่ต้องทำการดูแลรักษาอย่างน้อยปีละ 3 ครั้งเลยทีเดียว และยังขึ้นอยู่กับระยะการขับขี่ที่เจ้าของรถแต่ละคนใช้อีกด้วย จึงเป็นค่าใช้จ่ายที่จะต้องสำรองเอาไว้ให้เพียงพอและควรสำรองอย่างเพื่อเหลือเพื่อขาดเอาไว้ด้วย โดยเฉพาะสิ่งสำคัญที่เจ้าของรถมักละเลยกันไป นั่นก็คือค่าบำรุงรักษารถยนต์ในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นเอง เพราะถึงแม้จะมีประกันภัยรถยนต์ แต่บางสถานการณ์ก็ไม่สามารถทำการเคลมได้ เช่น ยางรถยนต์ระเบิด หม้อน้ำรั่ว ซึ่งอาการเหล่านี้หากนอกเหนือความครอบคลุมของสัญญากันภัย เจ้าของรถก็จะเป็นต้องรับผิดชอบด้วยตนเองนั่นเอง
-
ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง
ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้สำหรับเจ้าของรถแต่ละคันอาจไม่เหมือนกันเลย เพราะรถแต่ละคันก็มีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเฉพาะเป็นกรณีไปและยังขึ้นกับการใช้งานรถยนต์ของเจ้าของรถอีกด้วย นอกจากระยะทางจะมีผลต่อการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว การขึ้นทางลาดหรือทางวิบากก็มีผลต่อการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของรถแต่ละคันด้วยเช่นกัน ซึ่งยังรวมถึงลักษณะนิสัยการขับรถของเจ้าของรถแต่ละคนอีกด้วย หากมีนิสัยชอบเหยียบคันเร่งหลาย ๆ ครั้ง หรือเร่งเครื่องในลักษณะให้เครื่องเงินทำงานอย่างรวดเร็ว ก็ย่อมส่งผลต่อการใช้น้ำเชื้อเพลิงของรถแต่ละคันด้วย นอกจากวิธีและลักษณะการขับรถจะมีผลต่อค่าใช้จ่ายในส่วนนี้แล้ว การเลือกใช้ประเภทของน้ำมันเชื้อเพลิงก็ยังมีส่วนสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันได้เกิดน้ำมันเชื้อเพลิงแบบประหยัดขึ้นมาอย่างมากมายทั้งสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน และเครื่องยนต์ดีเซลอีกด้วย
-
ค่าประกันภัยรถยนต์
หากคิดจะเป็นเจ้าของรถยนต์สักคันคงไม่สามารถละเลยไปได้เลย โดยค่าใช้จ่ายในการทำประกันภัยรถยนต์นั้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ ซึ่งเป็นข้อบังคับของกรมการขนส่งทางบกที่รถทุกคันจะต้องปฏิบัติ ทั้งนี้เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้ใช้รถใช้ถนนและผู้โดยสารรถยนต์ทุกคนนั่นเอง โดยอัตราของเบี้ยประกันจะขึ้นกับประเภทของรถยนต์โดยรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คนเบี้ยประกันจะอยู่ที่ 600 บาท หากอยู่ระหว่าง 7 – 15 คนจะอยู่ที่ 1,100 บาท ซึ่งจะมีการปรับขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามจำนวนที่นั่งในรถยนต์นั่นเอง (ที่มาของข้อมูล http://www.oic.or.th/) ส่วนอีกประเภทคือประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจซึ่งจะมีหลายประเภท ตั้งแต่ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ไปจนถึงประกันภัยรถยนต์ชั้น 3 นั่นเอง ซึ่งถือเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพื่อเพิ่มความอุ่นใจให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนนั่นเอง
จึงจะเห็นได้ว่าค่าใช้จ่ายในการซื้อรถยนต์นั้นมีรายละเอียดต่าง ๆ แอบแฝงอยู่มากมายนอกเหนือจากค่าใช้จ่ายในการซื้อรถยนต์ซึ่งยังไม่นับรวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เจ้าของรถยนต์บางคนจะต้องเตรียมเอาไว้ เช่น ค่าที่จอดรถ ค่าดูแลรักษารถยนต์ให้สวยงาม ทั้งการล้างรถและเคลือบเงา ซึ่งแม้จะเป็นจำนวนเงินไม่มาก แต่หากรวบรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดคิดเป็นรายปีแล้ว คงต้องยอมรับว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมากต่อรถแต่ละคันเลยทีเดียว ดังนั้นเจ้าของรถทุกคนจึงควรเตรียมตัวทำแผนทางการเงินให้ดีเพื่อให้ไม่ต้องประสบกับปัญหาสภาพคล่องทางการเงินได้นั่นเอง