คำถามหนึ่งที่หลายคนมักจะถามตัวเองกันอยู่เสมอว่า เมื่อไรเราจะเรากับเค้าสักที เมื่อไรจะมีเงินสักที หรือ ทำไม่เรายังจนอยู่แบบนี้ หรืออีกหลายๆคำถามมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้เขียนเองก็เคยมีคำถามประมาณนี้เหมือนกัน จนเป็นที่มาของบทความนี้ว่า หากไม่นับเรื่องของเงินทองที่มีอยู่แล้ว คนที่รวย กับคนที่จน นั้นแท้จริงแล้วมันแตกต่างกันตรงไหนอย่างไร
แนวคิดการใช้เงิน
ข้อแรกที่สำคัญที่สุด และเห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ แนวคิดของการใช้เงิน คนรวยเอาแบบที่รวยจริงๆ รวยด้วยตัวเองเองไม่ใช่เงินพ่อแม่ส่งมาให้เนี่ย ส่วนมากแล้วเค้าจะมีแนวคิดการใช้เงินที่ดีมากๆ จริงอยู่ว่าเค้าอาจจะมีสินค้าแบรนด์เนม รถราคาแพง แต่เชื่อเหอะว่า มันผ่านการคิดอย่างไตร่ตรองมาแล้วอย่างรอบคอบว่าต้องซื้อเท่าไร ผ่อนเดือนละเท่าไร ดอกเบี้ยเท่าไรและคุ้มค่าไหมกับการซื้อมา ซึ่งต่างกับคนจนที่อยากซื้อของเพราะอยากได้ อยากอวด อยากมีตามกระแส ซื้อโดยไม่คำนวณเงินให้ดี สุดท้ายก็กลายเป็นหนี้ท่วมหัวโดยไม่รู้ตัวเป็นต้น
องค์ความรู้การบริหารเงิน
คนรวยส่วนใหญ่มักจะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ พวกเค้าจะมีองค์ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการเงินดีมาก ไม่ใช่แค่การทำบัญชีรายรับ รายจ่ายเท่านั้น พวกเค้าจะมีวิธีการหาเงิน โดยการนำเงินไปต่อเงิน ในทีนี้หมายถึงการนำเงินที่ได้จากการทำงานไปลงทุนต่อเนื่องให้เกิดรายได้ขึ้นมาอีก พูดง่ายๆเหมือนที่พวกเศรษฐีชอบพูดกันก็คือ การให้เงินมันทำงานแทนเรานั่นเอง แน่นอนว่าตอนแรกมันอาจจะไม่เห็นผลเท่าไร แต่พอผ่านไป 5-10 ปี เค้าก็ไม่ต้องทำงานแล้วเพราะว่าเงินมันทำงานให้เค้าไปแล้ว ส่วนคนจนน่ะเหรอ บางคนไม่รู้จักแม้แต่การซื้อกองทุนรวมด้วยซ้ำ วิธีการที่คิดได้ในการหาเงินก็คือ ซื้อหวย ซื้อลอตเตอรี่กันไป
วินัยทางการเงิน
เรื่องที่สามที่แตกต่างกันจริงๆระหว่างคนรวย กับคนจนก็คือ เรื่องวินัยทางการเงิน หลายคนอาจจะคิดว่าคนรวยมีเงินเยอะแล้วจะใช้เท่าไรก็ได้ ซื้ออะไรก็ได้ แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย คนรวยหลายคนมักจะมีพื้นฐานจากความจนมาก่อน นั่นทำให้พอพวกเค้ามีเงินแล้ว สบายแล้วพวกเค้าก็ไม่อยากจะกลับไปลำบากอีก นั่นทำให้พวกเค้าใช้เงินอย่างระมัดระวังมาก มีการทำบัญชีและกำหนดลิมิตการใช้เงินอยู่ตลอด ได้เท่าไร เก็บเท่าไร ลงทุนเท่าไร พวกเค้ามีการบริหารเงินและทำตามให้ได้อย่างชัดเจน ส่วนคนจนน่ะเหรอ มีเท่าไรก็ใช้ๆไปให้หมดเงิน หมดวัน ไม่ได้มีการบังคับตัวเองสักเท่าไร เงินก็ไหลออกไปหมดอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ความกล้าหาญ
หากเราไปสังเกตุดูเอาแค่เศรษฐีในบ้านเรา สิ่งหนึ่งที่พวกเค้ามีเหมือนกันก็คือ จิตใจของนักรบที่กล้าหาญ พร้อมที่จะเจอกับศัตรูรูปแบบต่างๆอย่างไม่ท้อถอย อย่างเช่นการทำธุรกิจอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง แน่นอนว่าพวกเค้าต้องเจอปัญหาร้อยแปดพันประการมาให้แก้ไขอยู่ทุกวัน หากพวกเค้าจิตใจไม่เข้มแข็งพอแล้วล่ะก็ เชื่อว่าคงพาธุรกิจอยู่รอดไม่ได้แน่ ซึ่งต่างกับคนที่ยังไม่มี เอาแค่จะกล้าๆลาออกมาทำธุรกิจของตัวเองนี่ ก็วิตกกังวล กลัวคิดแล้วคิดอีกจนสุดท้ายก็ไม่ได้เริ่มอะไรสักที
เป็นตัวของตัวเอง
การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้นั่น การเป็นตัวของตัวเองหรือสร้างเอกลักษณ์ สร้างแบรนด์ของตัวเองเป็นเรื่องที่ลูกค้ามองดูอยู่อย่างแน่นอน จะสังเกตุว่าธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในช่วง 10 ปีหลังมานี่ ความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเป็นสิ่งที่ลูกค้าพูดถึงมาก่อนตัวสินค้าอีก เพราะงั้นหากเราอยากจะรวย เราต้องเป็นตัวของตัวเอง กล้าที่แตกต่างให้ถึงที่สุด ยกตัวอย่างเช่น บะหมี่จอมพลัง ที่มองดูแล้วก็เหมือนบะหมี่ทั่วไปที่เราเคยกิน แต่เค้าแสดงเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครในเรื่องของปริมาณที่จัดเต็มแบบเนื้อๆ เน้นๆ จนเดี๋ยวนี้กลายเป็นร้านดังที่ต้องเปิดแฟรนไชส์ไปหลายสาขาทั่วกรุงเทพแล้ว
การเรียนรู้ตลอดชีวิต
สิ่งที่แตกต่างกันอย่างหนึ่งของคนรวย กับคนจนข้อต่อไปนั่นคือเรื่องของการเรียนรู้ คนรวยมักจะมีการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่เรื่อย พวกเค้าจะติดตามข่าวสาร เรื่องราวต่างๆ ว่าตอนนี้มีอะไรใหม่ อะไรน่าสนใจทั้งในและต่างประเทศ เพื่อนำมาพัฒนา ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือองค์กรให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ แตกต่างกับคนจนที่พอจะให้เรียนรู้อะไรใหม่ ก็มักจะบอกว่า รู้แล้ว ไม่อยากทำ ขี้เกียจ จนสุดท้ายองค์ความรู้ที่ตัวเองมีก็ล้าหลังไปเรื่อยๆ จะหยิบจับทำอะไรก็ไม่ทันเค้าไปเสียหมด อย่างบะหมี่จอมพลังในข้อเมื่อกี้ขนาดเค้าขายดี มีสาขาตั้งเยอะในกรุงเทพ แต่เชื่อไหมว่า เค้าก็ยังมีการคิดค้นเมนูใหม่ๆมานำเสนอลูกค้าตลอด อย่างซาลาเปาไส้ยักษ์ หรือ ล่าสุดที่ไปดูในแฟนเพจของบะหมี่จอมพลัง ที่เค้าคิดค้นเมนูใหม่ในชื่อว่า บะหมี่จอมพลัง ที่เราเห็นต้องอึ้งเลยว่า กินกี่คนจะหมดเนี่ย เป็นต้น
ประเด็นที่เราหยิบมาแนะนำกันในวันนี้เป็นข้อแตกต่างระหว่างคนรวย กับคนจน ซึ่งหากเราได้ไปสัมผัสพวกเค้าจริงจะเห็นว่ายังมีข้อแตกต่างอีกมากที่ทำให้เรารู้เลยว่า คนรวยเค้าคิดกันอย่างนี้นี่เองเค้าถึงรวย ยังไงก็ลองนำแนวคิดเหล่านี้ไปปรับใช้ดู ไม่แน่ว่าคนที่หนีพ้นจากความจนคนต่อไปอาจเป็นคนที่กำลังอ่านมาถึงบรรทัดสุดท้ายนี้ก็ได้