ผ่อนหนี้ PayLater จะติดบูโรมั้ย ต้องระวังอะไรบ้าง?
ในยุคที่การช้อปออนไลน์ และการใช้จ่ายแบบดิจิทัลกลายเป็นเรื่องปกติ บริการสินเชื่อ PayLater หรือ Buy Now, Pay Later (BNPL) ก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะสามารถทำให้ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าก่อน แล้วค่อยจ่ายทีหลังได้โดยไม่จำเป็นต้องมีบัตรเครดิต แต่แม้จะดูสะดวก และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิตอล ในขณะเดียวกันก็อาจเป็นต้นเหตุของภาระหนี้ในระยะยาวได้ด้วยเช่นกัน เพราะนอกจากจะจ่ายสินค้าทีหลังได้แล้ว ก็ยังสามารถผ่อนยอดหนี้นั้นต่อได้อีก คำถามต่อมาก็คือ ผ่อนหนี้ PayLater จะติดบูโรมั้ย ต้องระวังอะไรบ้าง เพราะบางแพลตฟอร์มจะมีการรายงานไปที่เครดิตบูโรแล้ว
PayLater คืออะไร มีเจ้าไหนบ้าง ดอกเบี้ยเป็นยังไง?
PayLater หรือที่เรียกกันว่า “ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง” (Buy Now, Pay Later – BNPL) คือบริการทางการเงินที่ให้คุณสามารถซื้อสินค้า และบริการทันที โดยยังไม่ต้องจ่าย ณ ตอนนั้นภายใต้วงเงินที่กำหนด และต้องจ่ายคืนภายหลังตามช่วงเวลาที่ตกลงกันไว้ โดยมีให้เลือกผ่อนชำระเป็นรายงวดด้วยเช่นกัน และหากจ่ายล่าช้า หรือผิดนัดชำระ ก็จะมีการคิดดอกเบี้ย รวมถึงค่าปรับตามที่กำหนด ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งวิธีการใช้จ่ายที่ช่วยให้บริหารเงินได้ยืดหยุ่นขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องมีบัตรเครดิต ปัจจุบันในประเทศไทยมีแพลตฟอร์มที่บริการ PayLater หลายเจ้า เช่น
- Shopee – SPayLater
ให้เลือกผ่อนสูงสุด 12 เดือน ทั้งแบบ 0% หรือแบบคิดดอกเบี้ย (SPayLater Limit Xtra ผ่อนได้นานสูงสุดถึง 24 หรือ 36 เดือน) โดยอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ประมาณ 15 – 25% ต่อปี หากผิดนัดชำระจะมีค่าปรับเพิ่มเติม และทาง SPayLater มีการรายงานข้อมูลไปยังเครดิตบูโรตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา
- Lazada – LazPayLater
จะคิดดอกเบี้ย 0% เมื่อชำระคืนภายใน 1 เดือน โดยเลือกผ่อนได้นานสุด 6 เดือน ซึ่งรองรับการแบ่งจ่าย 0% บางสินค้า อัตราดอกเบี้ยกรณีทั่วไปอยู่ที่ 15 – 25% ต่อปี
- Grab PayLater
ใช้กับบริการ GrabFood, GrabMart และ GrabExpress โดยบางโปรแกรมอาจไม่คิดดอกเบี้ย หากเลือกจ่ายครั้งเดียวตอนสิ้นเดือน แต่ถ้าผ่อนหลายเดือนจะมีดอกเบี้ยตามเงื่อนไข
เลือกผ่อนหนี้ PayLater จะติดบูโรหรือไม่?
คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการชำระหนี้ หากจ่ายตรงตามที่กำหนดก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้ามีการผิดนัดชำระบ่อยครั้ง ไปจนถึงไม่จ่ายเลย ก็มีโอกาสติดบูโรได้ ซึ่งบางผู้ให้บริการ เช่น Shopee PayLater ได้มีการรายงานข้อมูลไปยังเครดิตบูโรแล้ว หมายความว่าหากจ่ายไม่ตรงเวลา ข้อมูลดังกล่าวอาจกระทบต่อการทำธุรกรรมทางการเงินในอนาคตได้ เช่น การขอสินเชื่อบ้าน หรือแม้แต่การสมัครบัตรเครดิต
ข้อควรระวังการใช้งาน PayLater
- จ่ายช้า เสี่ยงติดบูโรไม่รู้ตัว
หากมีการผิดนัดชำระเกิน 30 วัน มีโอกาสที่ผู้ให้บริการจะรายงานไปยังเครดิตบูโร ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการทำธุรกรรมทางการเงินในอนาคต
- หนี้สะสมเกินตัว
หลายคนไม่วางแผนการเงินให้ดี ใช้จ่ายด้วย PayLater เกินตัว จากหลายแอปพร้อมกัน ทำให้ยอดหนี้รวมสูง และอาจเกินความสามารถในการชำระในแต่ละเดือนได้
- ดอกเบี้ย และค่าปรับสูง
ข้อดีของ PayLater คือมีตัวเลือกให้ผ่อนได้แบบสบาย ๆ ช่วยบรรเทาภาระในแต่ละเดือน แต่หากเริ่มจ่ายไม่ตรงเวลา ต้องระวังดอกเบี้ย และค่าปรับที่อาจทำให้หนี้บานปลายกว่าเดิม
- การตรวจสอบเครดิตบูโรเมื่อขอเพิ่มวงเงิน
ในบางกรณี หากต้องการขอวงเงินเพิ่ม ผู้ให้บริการอาจตรวจสอบเครดิตบูโร ซึ่งหากมีประวัติไม่ดี อาจทำให้ไม่ได้รับการอนุมัติ
PayLater ไม่ได้เป็นผู้ร้าย ไม่ใช่เรื่องไม่ดี ใคร ๆ ก็สามารถเลือกใช้ได้ หากใช้อย่างถูกวิธี ไม่เพียงช่วยให้การใช้จ่ายคล่องตัวขึ้น แต่ยังอาจกลายเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสร้างเครดิตทางการเงินที่ดีได้ด้วย กล่าวคือขึ้นอยู่กับความมีวินัย และวางแผนการเงินอย่างรัดกุม ไม่ใช้จนเกินตัว หรือผ่อนแบบเดือนต่อเดือนไม่ไหว เพราะหากเลือกผ่อนยอดเก่า บวกกับใช้ยอดใหม่เพิ่มไปอีกเรื่อย ๆ ก็ยิ่งทำให้ภาระหนี้หนักหนาขึ้น ไหนจะเรื่องดอกเบี้ย หรือค่าปรับที่อาจต้องเจออีก แน่นอนว่าจากก้อนหนี้เล็ก ๆ ก็กลายเป็นก้อนใหญ่ได้ไม่ยากเลย และหากผ่อนไม่ไหว จ่ายช้า หรือหยุดจ่ายเลย ก็มีโอกาสที่จะติดบูโรได้ ถ้าแพลตฟอร์มนั้น ๆ มีการรายงานข้อมูลไปที่เครดิตบูโรด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการทำธุรกรรมในอนาคตอย่างเลี่ยงไม่ได้