-
อย่าออกไปช้อปปิ้ง
ง่าย ๆ ถ้าคุณไม่ออกไปช้อปปิ้ง คุณก็ไม่ต้องเสียเงิน เว้นเสียแต่ว่าคุณต้องใช้มันจริง ๆ เท่านั้น คุณจึงค่อยออกไปซื้อ แต่อย่าแค่เดินออกไปดูของเล่น ๆ เพราะคุณอาจจะได้ของกลับมา พร้อมกับเงินที่น้อยลงในกระเป๋า มีผลวิจัยออกมาว่าคนที่ไปห้างสรรพสินค้าส่วนใหญ่ไม่ได้มีความรู้สึกอยากจะซื้อหรือต้องการอะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่อยากจะออกไปเดินเล่นเท่านั้น และหลาย ๆ คนที่ไปช้อปปิ้งแบบนั้น ก็มักจะลงเอยได้ของสิ่งนั้น สิ่งนี้มาอย่างละเล็กละน้อย ที่ไม่ได้จำเป็นแต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ดีหลายคนในสังคมสมัยใหม่นี้ ก็มองการเดินเล่นซื้อของเป็นกิจกรรมที่จำเป็นต่อจิตใจ เพราะช่วยผ่อนคลายความเครียด คลายความเหงา ฆ่าเวลา หรือที่เป็นที่สังสรรค์ ด้วยเหตุนี้จึงมีห้างสรรพสินค้าผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด (ในบางครั้งก็มีมากกว่าโรงเรียนซะอีก) การหันเข้าหาห้างสรรพสินค้าอยู่เสมอ ๆ ของคนรุ่นใหม่ ก็ถือได้ว่าเป็นการเสพย์ติดอย่างหนึ่ง ทางที่ดีควรจะเลี่ยงห้างสรรพสินค้าให้มากที่สุด นอกจากนั้นแล้วก็ควรเลี่ยงการดูโฆษณาชวนเชื่อต่าง ๆ ที่จะทำให้เรารู้สึกอยากได้อยากมี หากปฏิบัติตามนี้ได้ คุณก็จะสามารถประหยัดเงิน และพลังงานของตัวคุณเองไปได้เยอะ
อ่านเพิ่มเติม >> คาถากันเงินไหล สำหรับ สาวนักช้อป ! <<<
-
ให้ใช้เท่าที่มี
บางคนอาจจะมองว่าคำแนะนำนี้ฟังดูไม่ค่อยทันสมัย เพราะได้ยินมานานว่าให้ซื้อของเฉพาะ เมื่อเรามีกำลังซื้อจริง ๆ เท่านั้น นั่นก็คือไม่ควรที่จะใช้บัตรเครดิตซื้อของที่ตัวเองไม่แน่ใจว่าจะจ่ายได้ไหมในอนาคต ถึงแม้จะเป็นคำแนะนำที่หลาย ๆ คนได้ยินมาจนเบื่อ แต่ก็เป็นเรื่องที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าจริง หากเรายังไม่มีเงินซื้ออะไรก็ตาม อย่าเพิ่งซื้อ เพราะว่านั่นอาจจะหมายถึงว่าเราต้องตรากตรำทำงานไปอีกนาน เพื่อใช้หนี้ที่เราก่อ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณอยากไปเที่ยวเกาหลี และปรากฏว่าคุณยังมีเงินไม่พอ จึงนำเงินออมที่คุณมีเกือบทั้งหมดออกมาใช้ การกระทำเช่นนี้ทำให้เมื่อคุณกลับมา คุณต้องมานั่งทำงานงก ๆ อีกหลายเดือนเพื่อ เก็บเงิน
แต่ข้อดีของการใช้เงินที่เรายังไม่มีในปัจจุบันไปกับสิ่งของฟุ่มเฟือยต่าง ๆ นั่นก็คือความสะดวกสบาย ณ ตอนนั้น แต่ข้อเสียก็คือคุณต้องมาทนทุกข์กับมันอีกเป็นเวลานาน ทางที่ดีคุณควรที่จะ เก็บเงิน เอาไว้ และใช้เมื่อตอนที่เรามีกำลังจ่ายได้แล้วจริง ๆ เท่านั้น
การกระทำเช่นนี้จะทำให้เราสามารถรับมือกับเศรษฐกิจที่ไม่ดีได้ อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการที่เราจะฝึกความสมถะ ให้พึงพอใจกับสิ่งที่เรามีอยู่อีกด้วย
-
ดูแลรักษาสิ่งของที่ตัวเองมี
เราอยากให้ร่างกายของเราแข็งแรง อายุยืนนาน เราก็ต้องดูแลรักษามันให้ดี ๆ การป้องกันโรคภัย ไข้เจ็บดีกว่าการต้องมารักษาเนื้อ รักษาตัว พร้อมกับเสียเงินจำนวนมาก ๆ ยกตัวอย่างเช่น การแปรงฟันอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยลดปัญหาฟันผุในระยะยาวได้ การทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง จากนั้นให้ใช้วิธีการเดียวกันนี้กับสิ่งของที่เรามีอยู่ เช่น การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้รถยนต์มีอายุยาวนานขึ้น หรือเพียงทำความสะอาดเครื่องดูดฝุ่น หรือที่เป่าผมก็สามารถช่วยยืดอายุอุปกรณ์เหล่านั้นได้แล้ว แต่ให้รู้ไว้ว่าข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่างร่างกายของเราและเครื่องจักรต่าง ๆ ก็คือ เครื่องจักรเหล่านั้นไม่สามารถดูแลรักษาตัวมันเองได้ จะมีก็แต่เราเท่านั้นที่ต้องคอยหมั่นดูแล หากเราปวดหัว เราอาจจะนั่งพักแล้วอาการก็จะดีขึ้นเอง
แต่สำหรับเครื่องจักรกลต่าง ๆ หากเราไม่สนใจความผิดปกติเล็ก ๆ น้อย ๆ มันอาจจะส่งผลเสียราคาแพงตามมาได้ อย่าลืมว่าหากเรามีสิ่งของมากมาย เราก็ไม่ควรทอดทิ้งมันไว้ เพราะมันจะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อม หรือเปลี่ยนใหม่
-
ใช้ของอย่างคุ้มค่า
เคยบ้างไหมที่เราทิ้งของไปโดยที่ของชิ้นนั้นยังสามารถใช้งานได้อยู่ หากคำตอบคือใช้ เราควรจะปรับความคิดเสียใหม่ ลองพิจารณาดูว่าสิ่งของนั้น ยังมีอายุได้นานกว่านี้หรือไม่ และถ้าหากไม่ เราสามารถนำสิ่งของชิ้นนั้นมาประยุกต์ใช้อย่างไรได้บ้าง ยกตัวอย่างเช่น เสื้อผ้าแฟชั่น หากคุณใส่ไม่กี่ทีแล้วทิ้งไว้ในตู้ โดยไม่ใส่ซ้ำอีก คุณอาจลองหาวิธีนำมา MIX&MATCH เพื่อประหยัดค่าซื้อเสื้อผ้าใหม่ ๆ เพราะจริง ๆ แล้ว เสื้อผ้าเป็นสินค้าที่คงทนอยู่ในระดับหนึ่ง หากเรารู้จักใช้ เราก็จะสามารถประหยัดเงินได้เยอะในระยะยาว หรือหากคุณกำลังจะทิ้งแก้วที่มีรอยบิ่นเล็กน้อย ลองเอามันมาประดิษฐ์ตกแต่ง ทำเป็นที่ใส่ดินสอดู ส่วนเฟอร์นิเจอร์ไม้เก่า ๆ คุณก็อาจเอามันมาถอดชิ้นส่วน สร้างอะไรใหม่ ๆ ได้ ลองเอาถาดเหล็กเก่า ๆ มาเป็นที่รองกันความร้อน
หลักการง่าย ๆ สำหรับวิธีนี้ก็คือ ให้บอกกับตัวเองว่าของทุกอย่างสามารถนำมาประยุกต์ใช้ประโยชน์ได้ หากเราใช้ความคิดสร้างสรรค์สักหน่อย เพราะฉะนั้นแล้วหากคุณกำลังจะซื้อของอะไรสักอย่างให้ถามตัวเองว่าเรามีของสิ่งนั้นอยู่แล้วหรือเปล่า หรือเราสามารถนำอะไรมาประยุกต์ได้
แต่หากว่าคุณเป็นคนขี้เหนียวอยู่แล้ว ก็อย่าลืมว่าบางทีการใช้ของซ้ำแล้วซ้ำอีกอาจจะสิ้นเปลืองมากกว่าการซื้อใหม่ เช่น หากคุณต้องเสียเวลาหลายนาที ก่อนที่โคมไฟจะเริ่มทำงาน คุณก็ควรจะเปลี่ยนมันซะ หรือว่าหากรถของคุณจะพังแหล่มิพังแหล่ และทุกครั้งที่คุณขับรถ คุณต้องเสียเวลาเป็นชั่วโมงเพราะรถเสียกลางทาง หรือเสียเงินค่าซ่อมอยู่เป็นประจำ คุณควรเป็นอย่างยิ่งที่จะซื้อรถใหม่ หรือว่ารองเท้ากีฬาของคุณใกล้จะพัง และมันทำให้เข่าคุณเจ็บทุกครั้งที่ออกไปวิ่ง ก็ลองไปหารองเท้าคู่ใหม่ซะ เพราะก็คงไม่คุ้มกัน หากคุณต้องมาเสียค่าผ่าตัดหัวเข่า
สิ่งสำคัญอยู่ที่การหาจุดสมดุลระหว่างการซื้อของฟุ่มเฟือย และการประหยัดจนเกินเหตุ เพราะทั้งสองสิ่งต่างก็ทำร้ายเงินในบัญชีได้ไม่แพ้กัน