หุ้น SET 100 น่าลงทุน 2567 ตัวไหนดี อนาคตไกลพื้นฐานแกร่ง
ตลาดหุ้นไทยในปี 2567 เผชิญกับความท้าทาย และโอกาสมากมาย ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ นักลงทุนจำเป็นต้องพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้น SET 100 ที่ประกอบด้วยบริษัทชั้นนำที่มีมูลค่าตลาดสูง สภาพคล่อง ในบทความนี้ การคัดเลือกหุ้นที่น่าสนใจในกลุ่ม SET 100 นั้น เราได้พิจารณาจากหลายปัจจัย ไม่เพียงแค่ผลประกอบการในอดีตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงศักยภาพการเติบโตในอนาคต ความสามารถในการปรับตัว และความแข็งแกร่งของฐานะการเงิน แล้ว หุ้น SET 100 น่าลงทุน 2567 ตัวไหนดี ที่เราคัดเลือกมานี้มีความหลากหลายทั้งในแง่ของอุตสาหกรรม เพื่อให้นักลงทุนสามารถพิจารณาเลือกลงทุนได้ตามความเหมาะสมกับเป้าหมาย และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
สภาวะตลาดโลกโดยรวมที่คุณต้องรู้ก่อนลงทุน
ก่อนที่จะไปดูรายละเอียดของแต่ละหุ้น มาทำความเข้าใจกับสภาวะตลาดโดยรวมกันก่อน ในช่วงครึ่งปีแรกของ 2567 ดัชนี SET มีความผันผวนค่อนข้างสูง โดยได้รับผลกระทบจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ อาทิ ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในหลายประเทศ นโยบายการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางทั่วโลกเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ และความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสที่ 2 เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ
การวิเคราะห์ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในช่วงครึ่งปีแรกของ 2567 เผยให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของหลายธุรกิจ แม้จะเผชิญกับความท้าทายต่างๆ อาทิ ความไม่แน่นอนทางการเมือง ภาวะเงินเฟ้อ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ Sell on fact ยังคงเกิดขึ้นในบางหุ้น ซึ่งแม้จะมีผลประกอบการที่ดี แต่ราคากลับปรับตัวลง สะท้อนถึงความคาดหวังของนักลงทุนที่อาจสูงเกินจริงหรือการรับรู้ข่าวดีไปล่วงหน้าแล้ว
นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น โครงการคนละครึ่ง และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ก็เป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลดีต่อหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีก กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มพลังงาน
เปิดโพย หุ้น SET 100 น่าลงทุน 2567 ตัวไหนดี
STGT (บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ จำกัด)
- หมวดธุรกิจ: ของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์
- อัตราผลตอบแทน YTD: +62.69%
- กำไรครึ่งปีแรก: 525 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 256.02%)
- มูลค่าตลาด: 31,230 ล้านบาท
STGT เป็นผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ของไทย ที่ได้รับอานิสงส์จากความต้องการผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำกำไรได้อย่างโดดเด่น และมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง
PRM (บริษัท พริมา มารีน จำกัด)
- หมวดธุรกิจ: ขนส่งและโลจิสติกส์
- อัตราผลตอบแทน YTD: +47.66%
- กำไรครึ่งปีแรก: 1,203 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 14.68%)
- มูลค่าตลาด: 19,750 ล้านบาท
PRM ดำเนินธุรกิจขนส่งทางทะเล ซึ่งได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและการค้าระหว่างประเทศ ผลประกอบการที่แข็งแกร่งสะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนและการขยายฐานลูกค้า
BA (บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด)
- หมวดธุรกิจ: ขนส่งและโลจิสติกส์
- อัตราผลตอบแทน YTD: +41.40%
- กำไรครึ่งปีแรก: 2,585 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 67.36%)
- มูลค่าตลาด: 46,620 ล้านบาท
BA เป็นสายการบินที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการเปิดประเทศของจีน ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารและรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
INTUCH (บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด)
- หมวดธุรกิจ: เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
- อัตราผลตอบแทน YTD: +16.78%
- กำไรครึ่งปีแรก: 6,707 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 20.37%)
- มูลค่าตลาด: 267,758 ล้านบาท
INTUCH เป็นบริษัทโฮลดิ้งที่ลงทุนในธุรกิจโทรคมนาคมและเทคโนโลยี ซึ่งได้รับประโยชน์จากการเติบโตของการใช้งานอินเทอร์เน็ตและบริการดิจิทัล
DELTA (บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ จำกัด)
- หมวดธุรกิจ: ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
- อัตราผลตอบแทน YTD: +16.48%
- กำไรครึ่งปีแรก: 10,873 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 31.27%)
- มูลค่าตลาด: 1,278,566 ล้านบาท
DELTA เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำ ที่ได้รับประโยชน์จากความต้องการผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและระบบพลังงานทดแทน
GULF (บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด)
- หมวดธุรกิจ: พลังงานและสาธารณูปโภค
- อัตราผลตอบแทน YTD: +14.04%
- กำไรครึ่งปีแรก: 8,240 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 22.34%)
- มูลค่าตลาด: 595,457 ล้านบาท
GULF เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ ที่มีการขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนในพลังงานทางเลือกและโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
ADVANC (บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด)
- หมวดธุรกิจ: เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
- อัตราผลตอบแทน YTD: +13.82%
- กำไรครึ่งปีแรก: 17,028 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 22.18%)
- มูลค่าตลาด: 734,630 ล้านบาท
ADVANC เป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ของไทย ที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของการใช้งานข้อมูลและบริการดิจิทัล รวมถึงการขยายโครงข่าย 5G
BH (บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด)
- หมวดธุรกิจ: การแพทย์
- อัตราผลตอบแทน YTD: +9.01%
- กำไรครึ่งปีแรก: 3,917 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 17.57%)
- มูลค่าตลาด: 192,370 ล้านบาท
BH เป็นโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ และความต้องการบริการทางการแพทย์คุณภาพสูง
MBK (บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด)
- หมวดธุรกิจ: พัฒนาอสังหาริมทรัพย์
- อัตราผลตอบแทน YTD: +8.86%
- กำไรครึ่งปีแรก: 1,443 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 20.37%)
- มูลค่าตลาด: 33,944 ล้านบาท
MBK ดำเนินธุรกิจหลากหลาย ทั้งศูนย์การค้า โรงแรม และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
CPALL (บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด)
- หมวดธุรกิจ: พาณิชย์
- อัตราผลตอบแทน YTD: +6.70%
- กำไรครึ่งปีแรก: 12,559 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 46.70%)
- มูลค่าตลาด: 536,740 ล้านบาท
CPALL เป็นผู้ประกอบการร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ที่สุดในไทย ซึ่งได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศและการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง
แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี 2567
ผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำมองว่า ดัชนีหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีกประมาณ 5% จากระดับปัจจุบัน โดยมีปัจจัยสนับสนุน ดังนี้
- การฟื้นตัวของเศรษฐกิจคาดว่าไตรมาส 3-4/67 จะเห็นการฟื้นตัวของหลายกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีก ที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ต
- กลุ่มไอซีที บริษัทในกลุ่มโทรคมนาคมอย่าง TRUE และ ADVANC มีแนวโน้มผลประกอบการที่ดีขึ้น จากการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- กลุ่มไฟแนนซ์ บริษัทขนาดใหญ่อย่าง MTC และ SAWAD มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน แม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมอาจชะลอตัว
- หุ้นส่งออก บริษัทในกลุ่มยางพาราและอาหาร เช่น STA, TU, และ CPF ยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง
- กลุ่มพลังงาน บริษัทอย่าง GULF มีการขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลประกอบการในระยะยาว
- กลุ่มท่องเที่ยว คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกอื่นๆ ที่อาจส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย ได้แก่
- การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 คาดว่าจะเริ่มเบิกจ่ายได้ในเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
- แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงต้นปี 2568 หรืออาจเร็วกว่านั้นในเดือนธันวาคม 2567 ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น
สำหรับแนวโน้มในช่วงที่เหลือของปี 2567 ผู้เชี่ยวชาญมองว่ายังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และความเป็นไปได้ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อย่างใกล้ชิด เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดทุนทั่วโลก
แม้ว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีแรกของ 2567 จะมีความผันผวน แต่ยังมีหุ้นหลายตัวที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่ม SET 100 ที่เราได้นำเสนอหุ้น SET 100 น่าลงทุน 2567 ตัวไหนดี ซึ่งมีผลประกอบการโดดเด่นและราคาหุ้นปรับตัวขึ้นตั้งแต่ต้นปี