คาดสถานการณ์ ตลาดหุ้นไทยเดือนพฤษภาคม 2559 น่าจะไม่มี sell in May and go away
นักวิเคราะห์ออกมาคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดหุ้นไทยในปีนี้ อาจจะไม่มีการ sell in May and go away ตามสถิติในอดีตที่ผ่านมาอย่างยาวนาน ที่ทุกปีตั้งแต่เดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนพฤศจิกายนจะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นซบเซาไม่สดใส นักลงทุนปรับพอร์ตทยอยขายหุ้นออกไปแล้วรอสถานการณ์จนถึงเดือนพฤศจิกายน เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศส่งสัญญาณการฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกของปี 2559 และสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของทางสหรัฐอเมริกาก็มีแนวโน้มที่จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกายังมีการฟื้นตัวไม่เต็มที่
จากสถิติย้อนหลังกว่า 10 ปีที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงตัวเลขของผลตอบแทนในตลาดหุ้นไทยที่ติดลบ -0.29% เป็นจำนวน 6 ปี จากทั้งหมด 10 ปี ถือเป็นความน่าจะเป็นที่สูงถึง 60% และหากเลือกวิเคราะห์เฉพาะ 5 ปี ล่าสุดจะพบว่าโอกาสเพิ่มขึ้นเป็น 80% โดยตลาดหุ้นไทยติดลบในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงพฤศจิกายนเฉลี่ย -2.62%
แต่จากบทวิเคราะห์ล่าสุดของหลายสำนักก็ออกมาให้ความเห็นตรงกันว่า แทนที่ตลาดหุ้นจะมีการปรับฐานเหมือนในสถิติช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นในปีนี้อาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้ เนื่องจาก 2 สัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม 2559 นี้ ตลาดหุ้นกลับมีการแกว่งตัวขึ้นเล็กน้อย จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อภาคเศรษฐกิจของไทยที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ของปี 2559 โดยผลจากการเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นของภาคการส่งออก ภาคการท่องเที่ยวของไทยที่ยังคงสดใสและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลถึง GDP ในภาพรวมของเศรษฐกิจให้โตได้สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรก เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติก็ยังไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการคาดการณ์ถึงภาวะการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบายแบบค่อยเป็นค่อยไปของสหรัฐอเมริกาเพื่อพยุงให้เศรษฐกิจค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้นจากการฟื้นตัวยังไม่เต็มที่ ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ก็จะส่งผลในแง่บวกต่อตลาดหุ้นของไทย
บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน ได้มีการประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือนพฤษภาคม 2559 ว่าแนวต้านจะอยู่ที่ 1453/1475 จุด โดยหุ้นที่น่าลงทุนยังคงเป็นหุ้นใหญ่ในกลุ่มที่เป็นโภคภัณฑ์ที่ราคาของสินค้าสูงขึ้นต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ราคาน้ำมันที่จะค่อย ๆ ปรับตัวสูงขึ้นหลังจากที่ราคาลดต่ำลงมาตลอดตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ล่าสุดประเทศซาอุดิอาระเบียก็ได้มีการประกาศปรับขึ้นราคาน้ำมันที่ส่งขายไปทั่วโลก และจากความกังวลในเรื่องข่าวการไฟไหม้ป่าในประเทศแคนาดาที่อาจส่งผลถึง supply ของน้ำมันเนื่องจากลามเข้าไปถึงแหล่งผลิตน้ำมันของแคนาดาด้วย ปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันจะเป็นผลบวกต่อหุ้น PTTEP, PTT, TOP ที่ก่อนหน้านี้ถือว่าปรับตัวลงมากในระยะหนึ่งแล้ว
อาหารประเภท เนื้อหมู เนื้อไก่ และกุ้ง ราคามีการฟื้นตัวดีขึ้น ส่งผลดีต่อราคาหุ้นของ CPF, GFPT ราคาน้ำตาล เป็นปัจจัยบวกต่อ BRR รวมถึง ราคาถั่วเหลืองก็ส่งผลดีต่อ TVO เช่นกัน ส่วนในกลุ่มสื่อสารเองก่อนหน้านี้ได้ถือว่าตลาดรับรู้การประมูลคลื่นใหม่ด้วยจำนวนเงินที่สูงมากไปเรียบร้อยแล้ว ราคาของหุ้นในกลุ่มสื่อสารถือว่าได้ลงมาต่ำมาก จึงถือเป็นโอกาสที่จะทยอยเข้าลงทุนได้ แนะนำ INTUCH, ADVANC ที่ตั้งแต่ราคาปรับตัวลดลงตั้งแต่ปีที่ผ่านมาถึงปัจจุบันก็ว่า 30% แล้ว
หุ้นที่จะมีปัจจัยเป็นบวกต่อภาพรวมของตลาดหุ้นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 ของปี 2559 เป็นหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โรงพยาบาล และสินเชื่อรายย่อย เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าจะมีผลกำไรที่ดี โดยหุ้นในกลุ่มสินเชื่อรายย่อย อย่าง SAWAD, MTLS, GL ได้รับอานิสงค์จากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้สามารถทำกำไรได้มาก หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว อย่าง AOT, MINT ก็ได้รับผลดีจากภาคการท่องเที่ยวของไทยที่กลับมาฟื้นตัวและเติบโตได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2558 ที่ผ่านมา สำหรับหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล BDMS, VIBHA, CHG ก็เป็นหุ้นเติบโตที่ทำกำไรได้ต่อเนื่องมาตลอด มีการขยายสาขาเพิ่มและจำนวนเตียงเพื่อรองรับผู้ป่วยก็เพิ่มมากขึ้นไปด้วย
เนื่องจากตลาดหุ้นยังคงมีความผันผวนจากปัจจัยหลายอย่าง ก่อนหน้านี้ 8 วันทำการ ตลาดหุ้นก็ได้ปรับฐานจาก 1,420 จุด ลงมาที่ 1,390 จุด ลงมา 30 จุด ส่วนหนึ่งน่าจะเนื่องจากเป็นช่วงของการประกาศจ่ายเงินปันผลและแรงเทขายจาก sell on fact หลังจากหลายบริษัทประกาศผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ปี 2559 ทำให้ราคาหุ้นขึ้นขานรับผลกำไรที่ดี โอกาสที่ตลาดหุ้นจะขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 1453/1475 จุด หรือปรับฐานลงมาที่ 1365/1385 จุดก็ยังมีอยู่ กลยุทธ์การลงทุนยังคงแนะนำให้เป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานดีเป็นหลัก เลือกหุ้นที่มีผลประกอบการที่ดีในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2559 ซื้อในช่วงที่หุ้นปรับฐานเพื่อรอขายทำกำไรในจังหวะที่ตลาดหุ้นมีโอกาสสูงที่จะขึ้นไปทดสอบที่ระดับสูงสุดตามที่คาดการณ์ไว้ที่ 1,600 จุด อีกครั้งในปีนี้ โดยใช้กลยุทธ์เข้าทยอยซื้อเพื่อสะสม
โอกาสที่ดัชนีจะลงไปทดสอบที่ 1,365 ก็ถือว่ามี แต่คิดว่าไม่น่าจะลงไปต่ำกว่านั้น เนื่องจากมีเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน เป็นแนวรับอยู่อย่างเหนียวแน่น จึงเชื่อว่าหากมีการปรับฐานดัชนีก็คงจะลงไปกว่าไม่เกิน 20 จุด นักลงทุนควรรอดูสถานการณ์และหาจังหวะเข้าซื้อหุ้นที่อยู่ในดวงใจ โดยทยอยเข้าสะสมได้