เคยตั้งคำถามกับตัวเองหรือเปล่านะว่าทำไมแต่ละเดือนไม่ค่อยมีเงินเหลือเก็บเลย เคยคิดกันหรือเปล่าว่าทุกๆ ต้นเดือน คุณจะใช้วิธีไหน ระหว่างเหลือเก็บก่อนค่อยเอาไปใช้ คือหลังจากที่ได้เงินเดือนมา แล้วหักส่วนของเงินออมออกไปก่อน จากนั้นค่อยนำไปใช้จ่ายด้วยการแบ่งจ่ายในแต่ละเรื่อง หรือว่าเหลือจ่ายก่อนแล้วค่อยเอาไปเก็บ คือ ได้เงินเดือนมานำไปใช้จนหมดเดือนก่อน ที่เหลือค่อยนำเอามาเก็บออม ซึ่งจะเหลือหรือเปล่ายังไม่รู้ด้วยซ้ำ แต่สำหรับคนที่ประสบความสำเร็จในเรื่องของการวางแผนการเงิน ส่วนใหญ่เค้าจะแยกค่าใช้จ่ายออกตั้งแต่ต้นเดือน พร้อมกับแยกเงินออมออกไปแบบไม่ยุ่งเกี่ยว จะทำให้สามารถมีเงินออมได้ดีกว่า แล้วแบบไหนล่ะที่เป็นตัวคุณ
ไม่ว่าคุณจะเป็นมนุษย์เงินเดือน หรือเป็นเจ้าของกิจการ หรืออาจทำอาชีพอื่นๆ คุณก็สามารถวางแผนการเงินเพื่ออนาคตได้ แม้จะไม่ได้กลายเป็นมหาเศรษฐีระดับโลก แต่เคล็ดลับที่เป็นกุญแจสำคัญสู่ความร่ำรวยยังรอให้คุณได้นำไปใช้ได้เสมอ
1.หากคิดอยากจะรวยต้องตั้งใจเก็บเงินจริงๆ
การออมเงินที่ดีและที่หลายๆ คนทำแล้วได้ผลก็คือการหักเงินออมไว้ก่อน หลังจากที่ได้รับเงินเดือนมา หรือแม้แต่เงินที่มาจากรายได้เสริม จากนั้นค่อยนำที่เหลือจากการหักไปใช้จ่าย ทั้งนี้เป็นการกันเงินสำหรับการเก็บออม ซึ่งหากทำได้อย่างสม่ำเสมอในแต่ละเดือน จะทำให้คุณมีเงินเก็บสะสมอย่างแน่นอน แต่บางคนใช้สูตรเศรษฐีคือหลังจากรับรายได้แล้ว ก็นำมาหักเงินออมและเงินลงทุนออก ส่วนที่เหลือค่อยเป็นค่าใช้จ่ายของเดือน ซึ่งเมื่อหักเงินออมแล้ว ยังต้องแบ่งเงินบางส่วนสำหรับลงทุนด้วย เพื่อเป็นการต่อยอดการทำให้เงินงอกเงย ด้วยการลงทุน โดยให้เงินทำงาน ซึ่งจะทำให้คุณมีหนทางสู่การเป็นเศรษฐีได้เร็วขึ้น
2.ศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุนและดูระยะเวลาของผลตอบแทนด้วย
มหาเศรษฐีมักจะมีความกล้าเสี่ยงต่อการลงทุนเสมอ พวกเขามักจะคิดตลอดเวลาว่า “ยิ่งเริ่มต้นลงทุนเร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งรวยเร็วขึ้นเท่านั้น” เพราะหากมีการเริ่มต้นออมเงินและลงทุนตั้งแต่เนิ่นๆ อาจส่งผลทำให้คุณมีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่าคนอื่นๆ ได้เร็วขึ้น แต่ที่สำคัญที่สุดคือ อย่าลืมศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนการลงทุนและสำรวจตัวเองว่าคุณยอมรับความเสี่ยงในการลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน แต่ไม่ต้องห่วงเพราะสมัยนี้จะมีแบบทดสอบวัดระดับความเสี่ยงสำหรับลูกค้าก่อนตัดสินใจลงทุนของสถาบันการเงินต่างๆ ข้อดีของการวัดระดับความเสี่ยงคือเพื่อเป็นการเลือกวัดระดับความเสี่ยงของคุณก่อนจะนำเงินไปลงทุน แล้วยังดูว่าคุณจะสามารถยอมรับผลตอบแทนได้หรือไม่ และยังช่วยเลือกประเภทการลงทุนให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ รวมถึงเป้าหมายในการลงทุนของแต่ละบุคคลอีกด้วย ซึ่งระยะเวลาการลงทุนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงสำหรับการได้รับผลตอบแทน เพราะหากมีการลงทุนนานกว่า ก็จะได้รับผลตอบแทนที่มากกว่า
3.ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยง
หลายคนที่พร้อมจะเสี่ยงเรื่องการลงทุน มักจะคิดแต่เรื่องผลกำไร หรือผลตอบแทนว่าจะได้มากหรือน้อย แล้วได้มามันจะคุ้มกับที่ลงทุนไปหรือไม่ ซึ่งการที่จะได้ผลตอบแทนมากหรือน้อยจะขึ้นอยู่กับเงินลงทุน ระยะเวลา และระดับความเสี่ยง เพราะการลงทุนแต่ละประเภทจะให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกัน การลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อย อาจให้ผลตอบแทนน้อยเป็นธรรมดา หากมีการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ก็อาจได้ผลตอบแทนที่สูงตามไปด้วย แต่หากมีการศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนการลงทุน อย่าลืมว่าการลงทุนแบบนี้แม้จะได้ผลตอบแทนมาก แต่ก็เสี่ยงต่อโอกาสการขาดทุนได้เช่นเดียวกัน
4.ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อเพิ่มกระจายการลงทุนในพอร์ตอย่างเหมาะสม
การกระจายการลงทุนในพอร์ตอย่างเหมาะสม ด้วยการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนนำเงินมาลงทุน เป็นการสร้างความมั่นใจในการลงทุน ได้เป็นอย่างดี ซึ่งการลงทุนกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินประเภทใดประเภทหนึ่ง พยายามหาข้อมูลให้ดีและอย่าพยายามลงทุนเพียงอย่างเดียวเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนสูง เพราะคุณมีความเสี่ยงที่สูงมากหากเกิดกรณีขาดทุน แต่การจัดสรรพอร์ตการลงทุน จะต้องลงทุนในผลิตภัณฑ์การเงินของแต่ละประเภทอย่างเหมาะสม ในระดับที่มีความเสี่ยงน้อยๆ ไปจนถึงเสี่ยงมาก ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนได้บ้าง ซึ่งการลงทุนไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม ต่างก็มีความเสี่ยงด้วยกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะหากลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนและให้ผลตอบแทนที่สูง คุณจะต้องศึกษาและต้องมีความรู้ ความเข้าใจกับข้อมูลรอบด้าน และมีการวางแผนจัดการที่ดี เพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างแม่นยำจะได้ไม่พลาดกับการลงทุน ซึ่งหากไม่มั่นใจให้เลือกปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนโดยเฉพาะ จะช่วยให้การตัดสินใจลงทุนไม่ผิดพลาด เพื่อปูทางสู่อนาคตทางการเงินที่สดใสและจะช่วยวางแผนการเงินให้สอดคล้องกับความต้องการของเป้าหมายในชีวิตของคุณได้
อ่านเพิ่มเติม : ปรับ พอร์ตการลงทุน ของตัวเองให้ตรงแต่ละช่วงอายุ
ที่สำคัญอย่าลืมดูกระแสเงินสดอย่างใกล้ชิด ด้วยการเดินบัญชี อย่างสม่ำเสมอซึ่งหากใครมีวินัยการออมหรือขยันสักหน่อยลองหันมาทำบัญชีรายรับรายจ่าย จะทำให้คุณสามารถรับรู้รายได้และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง รวมถึงสถานการณ์ทางการเงินว่ามีเงินหมุนเวียนเพียงพอหรือไม่ จะได้ทำการวางแผนการเงินสำหรับไว้รองรับ เพื่อรักษาสมดุลระหว่างรายรับและรายจ่ายต่อไป