ภาวะเศรษฐกิจของไทยที่มีการผันผวนอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้ภาคการส่งออกสินค้าในปี 2558 ที่ผ่านมานั้น ไม่ค่อยแจ่มใสนัก โดยติดลบอย่างต่อเนื่องเข้าเป็นปีที่ 3 เนื่องจากมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในส่วนการส่งออกทางภาคเกษตร ซึ่งจีพีดีทางภาคเกษตรปี 2558 ได้ถูกคาดว่าจะมีมูลค่า 4.06 แสนล้านบาท โดยขยายตัวลดลงจากปี 2557 ที่มีมูลค่า 4.22 แสนล้านบาท (ลดลง 3.80%) ซึ่งผลคาดการณ์ดังกล่าวได้มาจากการพิจารณาถึงปัจจัยหลักที่ทำให้ภาคเกษตรหดตัวค่อนข้างมาก นั่นคือ ปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 2557 และต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงปี 2558 จึงทำให้มีการคาดคะเนว่า จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อการปลูกข้าวนาปรังในช่วงปลายปี 2558 (พ.ย.58 – เม.ย.59) ยาวต่อเนื่องไปจนถึงปี 2559 ทำให้ผลผลิตสินค้าทางการเกษตรมีแนวโน้มที่ลดลง ส่งผลให้รายได้ของเกษตรกรลดลงตามไปด้วย
ปัญหาดังกล่าวจึงมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ แต่อย่างไรก็ดีด้วยหลาย ๆ ปัจจัยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจประเทศคู่ค้า รวมทั้งเศรษฐกิจของไทยเอง และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้มีการคาดการณ์ว่าในปี 2559 เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 3.7-4.7% โดยพิจารณาจากโครงสร้าง ขั้นตอน และวิธีการดำเนินการต่าง ๆ ทั้งหมด ของรัฐที่พยายามเดินหน้าควบคู่ไปกับเอกชนให้ได้ ตลอดจนคาดว่าเศรษฐกิจโลกน่าจะปรับตัวดีขึ้น และส่งผลให้การส่งออกของไทยขยายตัวได้มากขึ้นเช่นกัน ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ได้มีการประชุมของคณะกรรมการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ (พกค.) ขึ้นใน วันที่ 4 ธ.ค.2558 ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้กำหนดเป้าการส่งออกของไทยในปี 2559 ให้เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบจากปี 2558 ด้วยเป้าที่กำหนดนี้ได้มีการพิจารณาจากภาพรวมของเศรษฐกิจโลก ตลอดจนความต้องการของประเทศคู่ค้าและศักยภาพของผู้ส่งออกไทย
นอกจากนี้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปี 2559 ได้ถูกคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะขยายค่อนข้างต่ำประมาณ 1.1-2.1% ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี และถ้าประเทศไทยสามารถรักษามูลค่าการส่งออกให้ไม่ต่ำกว่า 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือนได้ จะทำให้การส่งออกของไทยขยายตัวได้ 5% ตามเป้าหมาย เพราะการส่งออกไทยนั้นคิดเป็น 70% ของจีดีพีเลยทีเดียว ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมาก ดังนั้นต้องทำให้การส่งออกเดินหน้าให้ได้ ดังนั้นจึงมีการกำหนดยุทธศาสตร์ออกมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ซึ่ง 7 ยุทธศาสตร์สำคัญที่ใช้ผลักดันการส่งออกปี 2559 ประกอบด้วย
- ยุทธศาสตร์ที่ 1 เปิดประตูการค้า พร้อมขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความตกลงในกลุ่มต่อไปนี้ TPP RCEP EU และ ASEAN
- ยุทธศาสตร์ที่ 2 มีมาตรการเร่งรัดขยายตลาดส่งออกในเชิงรุก โดยใช้ยึดเอาความต้องการตลาดเป็นตัวนำการผลิต
- ยุทธศาสตร์ที่ 3 ส่งเสริมการค้าบริเวณแถบชายแดน เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคทั้งด้านการลงทุน เศรษฐกิจ และการค้า
- ยุทธศาสตร์ที่ 4 ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้ไปดำเนินธุรกิจและลงทุนยังต่างประเทศ
- ยุทธศาสตร์ที่ 5 ปรับโครงสร้างการค้าสู่การค้าด้านบริการ เพื่อเป็นจักรกลใหม่ในการขับเคลื่อนการค้า โดยมีธุรกิจบริการที่ให้ความสำคัญ 6 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ ธุรกิจบันเทิง ธุรกิจโลจิสติกส์ (ขนส่ง) ธุรกิจการศึกษา ธุรกิจบริการการต้อนรับ และธุรกิจบริการวิชาชีพ
- ยุทธศาสตร์ที่ 6 ส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs รายย่อย ให้สามารถเป็นตัวแทนที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม
- ยุทธศาสตร์ที่ 7 สร้างมูลค่าเพิ่มการส่งออกให้แก่ภาคอุตสาหกรรม
จากยุทธศาสตร์ทั้งหมดนี้จึงทำให้เห็นได้ถึงแนวโน้มของการ ส่งออกไทย ปี 2559 ว่า ค่อนข้างดุเดือดและเป็นฝ่ายรุกกว่าในปีที่ผ่าน ๆ มา อาจด้วยไทยได้เข้าสู่ประชาคมอาเซียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้ต้องผลักดันตนเองเพิ่มขึ้น เพราะด้วยตลาดของผู้ซื้อที่กว้าง มีกำลังมากขึ้น กอปรกับการแข่งขันเกิดขึ้นในสมรภูมิการส่งออกสินค้าระหว่างประเทศในเขตอาเซียนนั้นเพิ่มสูงขึ้นจนเป็นที่น่าจับตา เพราะถ้าหากใครสามารถกุมอำนาจทางเศรษฐกิจ และมีมูลค่าการส่งออกสินค้าเป็นอันดับต้น ๆ ในทุกด้าน ย่อมทำให้ประเทศนั้นเจริญรุดหน้าอย่างไม่ยากเย็น
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ประเทศไทยเองก็เตรียมการเพื่อความพร้อมอยู่ตลอดเวลา และเมื่อพิจารณาข้อมูลพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยในปีที่ผ่านมา พบว่า ลำดับการส่งออกของสินค้าตัวหลักจากไทยสู่ตลาดโลกประจำปี พ.ศ. 2558 โดยเรียงจากมูลค่าสูงสุดไปหาต่ำสุดได้ดังนี้
รถยนต์ และอุปกรณ์/ส่วนประกอบ
เครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์/ส่วนประกอบ
อัญมณีและเครื่องประดับ
เม็ดพลาสติก
น้ำมันสำเร็จรูป
แผงวงจรไฟฟ้า
ผลิตภัณฑ์ยาง
เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล
เคมีภัณฑ์
เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์
เป็นข้อมูลที่ได้มาจากกรมการค้าไทย สำหรับประเทศคู่ค้าสำคัญ (การส่งออก และการนำเข้าสินค้า) ของไทย ประจำปี พ.ศ. 2558 โดยเรียงจากมูลค่าการซื้อขายสูงสุดไปหาต่ำสุดคือ
จีน
ญี่ปุ่น
สหรัฐอเมริกา
มาเลเซีย
สิงคโปร์
อินโดนีเซีย
ออสเตรเลีย
ฮ่องกง
เวียดนาม
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ซึ่งจะเห็นได้ว่า จีนเป็นตลาดใหญ่ และเป็นประเทศคู่ค้าสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ที่สำคัญของไทย โดยในปี 2558 นั้น ด้วยจีดีพีของประเทศจีนลดลง เศรษฐกิจโดยรวมมีความผันผวน
และถึงแม้ผู้กำหนดนโยบายระดับสูงของจีนจะพยายามรักษาบรรยากาศรวมทางเศรษฐกิจ แต่ด้วยภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มเย็นตัว ระดับหนี้สินเพิ่มสูง ตลอดจนปริมาณการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมที่ล้นเกิน มีผลทำให้ปริมาณการส่งสินค้าของไทยออกสู่จีนยังไม่สูงมากตามเป้าที่ต้องการ อันเป็นผลมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจของคู่ค้ามีแนวโน้มชะลอตัวลง และราคาส่งออกสินค้าเกษตร และผลิตภัณฑ์หลายชนิดของไทยนั้นสูงกว่าประเทศคู่แข่งขันอื่น จึงทำให้ประเทศคู่ค้าหันไปนำเข้าจากประเทศเหล่านั้นแทน แต่หลังจากนี้มีการคาดการณ์ว่า ประเทศจีนจะมีการปรับกลยุทธ์ใหม่โดยการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เพื่อส่งเสริมการบริโภค การใช้จ่ายในภาคการส่งออก และการลงทุน เพื่อเศรษฐกิจในระยะยาว จึงทำให้ประเทศไทยอาจได้รับอานิสงค์จากการปรับนโยบายใหม่ครั้งนี้
แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการส่งออกของไทยจะมีแนวโน้มที่ดี และเอื้อให้เกิดปริมาณการส่งออกที่มากขึ้น แต่ก็ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ควรพิจารณาประกอบคือ ราคาน้ำมันที่น่าจะปรับตัวสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะทำให้รายได้ของรัฐบาลลดลง และหากค่าเงินบาทแข็งตัวขึ้นก็จะทำให้การส่งออกลดลงเช่นกัน ดังนั้น ถ้าจะทำให้การที่ส่งออกของไทยจะเติบโตได้เพิ่มขึ้น ภาคเอกชนต้องเข้ามามีส่วนร่วมด้วย โดยจะมีการเน้น และปรับกลยุทธ์การส่งออกโดยเพิ่มประเทศคู่ค้า คือ อาเซียน 9 ประเทศเข้ามา และด้วยสัญญาณที่ดีของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม จากช่วงเดือน ก.ย. ถึง ต.ค. และ พ.ย. ถึง ธ.ค. 58 ทำให้มองเห็นทิศทางที่ดีว่า เศรษฐกิจไทยในปีหน้าน่าจะขยายตัวได้ 3.8% เพราะหัวเรือหลักทางเศรษฐกิจของไทย อัน ได้แก่ การบริโภค การลงทุนภาคเอกชน การลงทุนภาครัฐ และการส่งออก ได้กลับมาเข้าสู่ระดับปกติแล้ว จึงทำให้ ปีหน้าเป็นปีแห่งการลงทุนอย่างแน่นอน