ทุกครั้งที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจัดการเลือกตั้งขึ้นมา ก็มักส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยแทบจะทุกครั้ง โดยเฉพาะสภาวะตลาดหุ้นไทยที่มักผันผวนเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองของสหรัฐมีความไม่แน่นอนชัดเจน ซึ่งสาเหตุหนึ่งก็เนื่องมาจากประเทศสหรัฐอเมริกานับเป็นผู้นำและผู้กำหนดทิศทางของเศรษฐกิจโลกนั่นเอง โดยเฉพาะประเทศไทยที่ธุรกิจและเศรษฐกิจส่วนใหญ่ก็ล้วนพึ่งพาการส่งออกเป็นสำคัญ และประเทศสหรัฐอเมริกาก็นับว่าเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญมากของประเทศไทยนั่นเอง ซึ่งนับเป็นสาเหตุที่ทำให้เมื่อนโยบายของประเทศสหรัฐอเมริกามีการเปลี่ยนแปลงหรือเกิดความคลุมเครือไม่ชัดเจนก็ย่อมส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นหรือเศรษฐกิจได้นั่นเอง
และเมื่อผลการเลือกตั้งของประเทศสหรัฐอเมริกาออกมาในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 ประกาศผลให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะผลการเลือกตั้ง อย่างชนิดที่เรียกได้ว่าพลิกโผผลโพลที่นักวิเคราะห์ได้นำเสนอออกมากันก่อนหน้านั้นแบบชนิดหน้ามือเป็นหลังมือกันเลยทีเดียว และหากผู้ที่อยู่ในตลาดหุ้นคงจะรู้สึกได้ทันทีว่าเมื่อผลการเลือกออกมาว่านายโดนัลด์ ทรัมป์เป็นฝ่ายได้นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดี ตลาดหุ้นไทยก็มีอาการแกว่งตัวในทันทีและหากอยากทราบว่าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ผ่านมาของประเทศสหรัฐอเมริกาจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไรบ้าง จะขอนำบทวิเคราะห์ของนักวิชาการหลากหลายท่านที่มีต่อมุมมองของสภาวะตลาดหุ้นและเศรษฐกิจไทยไว้ดังนี้
นายสมภพ มานะรังสรรค์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจจีนและอธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ให้ความเห็นว่า นโยบายที่เน้นความเป็นอเมริกาของทรัมป์จะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกามุ่งเน้นไปยังภาคการบริโภคภายในประเทศ และยังอาจมีการสร้างกำแพงภาษีนำเข้าให้สูงขึ้น รวมถึงมาตรการตอบโต้ต่อประเทศที่แทรกแซงค่าเงินของประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา อย่างประเทศจีน ญี่ปุ่น รวมถึงประเทศไทยอาจต้องปรับตัว เพราะเศรษฐกิจของประเทศไทยนั้นมีมูลค่าการนำเข้าสินค้าไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาคิดเป็น 10% ของการค้าจากทั่วโลก แต่นโยบายการค้าในส่วนนี้ของประเทศสหรัฐอเมริกายังไม่มีความแน่นอน ดังนั้นประเทศไทยจะต้องเพิ่มความระมัดระวัง รวมถึงการปรับตัวรับมือการทำเศรษฐกิจโดยมองหาตลาดใหม่ ๆ อย่างตลาดอาเซียนและเอเชียใต้ (ที่มาของข้อมูล http://www.krobkruakao.com/) ซึ่งจากแนวกระทบนี้จะพบว่าบริษัทในตลาดหุ้นที่เน้นการส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นลูกค้าสำคัญจะได้รับผลกระทบในส่วนนี้ในระยะสั้นทันที แต่หากบริษัทสามารถปรับตัวและหาฐานลูกค้าใหม่ ๆ ได้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น
ซึ่งจะเห็นได้ว่านโยบายที่คิดเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ย่อมส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม โดย รศ.ดร.ประภัสสร์ เทพชาตรี ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียนศึกษาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้วิเคราะห์ทิศทางของสถานการณ์โลกรวมถึงประเทศไทย ที่นับว่ามีความเกี่ยวโยงเป็นอย่างมากสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของสหรัฐอเมริกา โดยคาดว่าทิศทางของสถานการณ์โลกที่ทางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงต่อจากนี้ไปของนายโดนัลด์ ทรัมป์นั้น จะยึดนโยบายโดดเดี่ยวนิยม โดยการปิดประเทศเพื่อสร้างกำแพงปิดกั้นคน สินค้าและการลงทุน ซึ่งนับเป็นนโยบายหลักของเขาที่มาของนโยบายนี้ก็เนื่องมาจากในขณะนี้ประเทศสหรัฐอเมริกามีความเสื่อมโทรมและตกต่ำทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ซึ่งนายโดนัลด์ ทรัมป์ เชื่อว่าสาเหตุที่ทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกาตกต่ำก็เนื่องมาจากปัจจัยภายนอกโดยเฉพาะพวกเขตการค้าเสรี โดยเฉพาะประเทศจีนที่ใช้การส่งสินค้าราคาถูกออกมาขาย โดยเฉพาะเมื่อมาในรูปของแรงงานเถื่อนที่เข้าประเทศแล้วมาแย่งงานของคนในประเทศสหรัฐอเมริกัน และประเทศพันธมิตรของสหรัฐอเมริกายังเอาเปรียบด้วยการให้สหรัฐอเมริกาออกค่าใช้จ่ายทางการทหารให้ จนทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกาถังแตกจนเป็นหนี้เป็นสิน แล้วเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาจึงพังทลาย
ทางแก้ที่ทรัมป์คิดขึ้นคือการปิดประเทศ ทั้งการปิดกั้นไม่ให้แรงงานเถื่อนได้เข้าประเทศ การสร้างกำแพงภาษีเพื่อกั้นไม่ให้สินค้าราคาถูกของจีนเข้ามายังประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงกำแพงป้องกันไม่ให้คนไหลออก เพราะเมื่อมี FTA แล้ว บริษัทต่าง ๆ ของประเทศสหรัฐอเมริกาก็ได้ย้ายฐานการผลิตออกไปหมด และสหรัฐอเมริกายังต้องเลิกการยื่นมือไปช่วยเหลือพันธมิตร เลิกสนับสนุนองค์การ NATO เลิกสนับสนุนทางการทหารให้กับประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ แต่นโยบายสุดโต่งของทรัมป์นั้น ในทางปฏิบัติคงไม่สามารถทำได้จริงทั้งหมด เพียงแต่ก็มีความไม่แน่นอนว่าจะทำได้สักกี่เปอร์เซ็นต์ (ที่มาของข้อมูล http://www.posttoday.com/)
จากบทวิเคราะห์นี้ผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนต่อตลาดหุ้นไทยคือความสามารถในการส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาน่าจะยังอยู่ในสภาวะผันผวนไม่แน่นอนและอาจถึงขั้นซบเซาได้ รวมถึงภาคการส่งออกที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด เพราะทรัมป์ไม่มีนโยบายในส่วนนี้เลย คือไม่เน้นปัญหาสภาพแวดล้อมของโลกเลยนั่นเอง ดังนั้นสินค้าส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาในกลุ่มนี้ก็จะมีความเสี่ยงสูง แต่หากมองในแง่บวกจะพบว่าเป็นโอกาสที่นโยบายทางเศรษฐกิจของไทยจะถูกแทรกแซงโดยประเทศสหรัฐอเมริกาน้อยลง ซึ่งอาจจะเปิดโอกาสให้ประเทศไทยได้สร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ อย่างประเทศจีนและรัสเซียได้ง่ายและสะดวกขึ้น รวมถึงการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียนในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นฐานลูกค้าใหม่ให้สามารถขยายวงกว้างออกไปได้สูงมากขึ้น
จากการคาดการณ์ของนางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย คาดว่าภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกจะแกว่งตัวค่อนข้างรุนแรงในช่วงแรก แล้วจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ซึ่งเป็นนายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ให้ความเห็นว่าความผันผวนของตลาดหุ้นไทย ไปจนถึงตลาดเงินและทองคำนั้นจะเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น เห็นได้จากในช่วงที่เกิดกรณีของ Brexit ที่นักลงทุนหลายคนต่างหวาดวิตก แต่ในท้ายที่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ส่งผลกระทบที่รุนแรงเลย และตั้งข้อสังเกตว่าการกล่าวสุนทรพจน์ของนายทรัมป์หลังได้รับชัยชนะดูมีท่าทีประนีประนอมมากกว่าตอนหาเสียง จึงเชื่อว่าแนวโน้มตลาดหุ้นของไทยจะมีโอกาสกลับมาคึกคักอีกครั้ง เพราะแนวโน้มเงินทุนจากประเทศภูมิภาคตะวันตก ยังคงไหลมายังตลาดหุ้นเกิดใหม่ที่ยังคงมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นทุกวัน (ที่มาของข้อมูล http://www.krobkruakao.com/)