หากผู้เขียนจะต้องแนะนำหนังสือที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตให้กับใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง หรือคนรู้จักก็ตาม ผู้เขียนจะนึกถึงหนังสืออยู่เล่มหนึ่งเป็นอันดับแรก ๆ เลย หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า “กฎทองแห่งความสำเร็จของชีวิต อย่าเอาใจไปติดกับอดีต อย่าโยนชีวิตไปอยู่ในอนาคต ทุ่มเทชีวิตให้กับสิ่งที่คุณเลือก The Rules of Life” เป็นหนังสือแปลมาจากต้นฉบับภาษาฝรั่ง เขียนโดยนักเขียนที่มีชื่อว่า Richard Templar แปลและเรียบเรียงโดย สมิทธิ์ เอกโชติ
ความโดดเด่นของหนังสือเล่มนี้คือการแบ่งเนื้อเรื่องข้างในออกเป็นตอนสั้น ๆ เป็นกฎแต่ละข้อของการใช้ชีวิตที่ผู้เขียนนำมาแบ่งปัน ประกอบไปด้วยกฎ 106 ข้อด้วยกัน แบ่งเป็นหมวดกฎเพื่อตัวเอง กฎของความสัมพันธ์ กฎที่ใช้กับครอบครัวและเพื่อนและกฎกติกาสังคม เมื่อไล่ดูสารบัญแต่ละกฎที่หน้าแรก ๆ ก่อน เราจะรู้สึกได้ถึงความเป็นจริงในชีวิต ยิ้มกว้างเมื่อพบว่ากฎหลายข้อนั้นเราได้ประพฤติปฏิบัติอยู่เป็นประจำ อาจจะเป็นนิสัยของเราไปแล้ว แต่ก็มีกฎอีกหลายข้อเช่นกันที่เมื่อเห็นแล้ว รู้สึกว่าเราไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลย เราพลาดไปได้อย่างไร ถ้านี่คือกฎของความสำเร็จในการดำเนินชีวิตจริง ๆ แล้ว เราควรจะต้องรีบทำเสียตั้งแต่วันนี้
หนังสือเล่มนี้ยังมีจุดเด่นอีกข้อในเรื่องของการที่ผู้เขียนไม่ได้รู้สึกว่าถูกยัดเยียดให้อ่านอะไรมากมายนัก เพราะแต่ละบทแต่ละกฎนั้นใช้พื้นที่ไม่เกิน 2-3 หน้าเท่านั้น เป็นประสบการณ์และความคิดเห็นของผู้แต่งหนังสือที่นำมาแชร์ให้พวกเราได้อ่านกัน เนื้อหาที่ไม่มากทำให้อ่านจบแต่ละบทได้โดยใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที หลังจากนั้นเราก็จะได้ลองทบทวนตัวเองดูถึงกฎข้อนั้น ๆ กับชีวิตของเรา
เนื้อหาภายในหนังสือเล่มนี้ทำให้เราไม่จำเป็นต้องอ่านทั้งหมดรวดเดียวจบเหมือนหนังสือบางเล่ม เราสามารถเลือกอ่านไปเรื่อยทีละบทสองบท หรือใครอยากจะอ่านทีเดียวจบเลยก็ไม่ว่ากัน นอกจากนั้นเรายังไม่จำเป็นต้องอ่านไล่ตั้งแต่แรก แต่เราสามารถเลือกอ่านกฎที่เราสนใจก่อนได้เช่นกัน ใครได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนรับรองได้เลยว่าอดไม่ได้หรอกที่จะหันมามองตัวเอง …และนี่เองที่จะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจดี ๆ ในการใช้ชีวิตของเราต่อไป
ผู้เขียนเชื่อว่าพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนนั้นอยากทำอะไรที่ดี ๆ อยู่แล้ว เพียงแต่ด้วยภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบ ความเร่งรีบ ผู้คนในสังคมที่ทำให้เราหลุดออกจากกรอบของการอยากทำอะไรดี ๆ ไป เราจึงต้องคอยดึงตัวเองให้กลับมาอยู่ในพื้นฐานของความทุ่มเทกับสิ่งที่เราเลือก ไม่ยึดติดกับอดีตที่ผ่านมา และไม่ปล่อยให้อนาคตเป็นเพียงเรื่องของโชคชะตาด้วยการสร้างแรงบันดาลใจจากการอ่านหนังสือดี ๆ แบบนี้กัน
ผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างของกฎบางข้อที่เมื่ออ่านแล้วก็อดอึ้งไม่ได้ เพราะเราก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องเหล่านี้ แต่ที่จริงมันก็เป็นตัวชี้วัดอย่างหนึ่งถึงการดำเนินชีวิตของเราว่าเป็นอย่างไร
-
มีใครบ้างไหมที่ดีใจเมื่อเจอหน้าคุณ
เราแทบไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้เลยว่าเวลาคนอื่นเจอเราเขาดีใจหรือไม่ เอาจริง ๆ นะ เพราะตามมารยาทแล้วทุกคนเมื่อเจอใครก็ต้องแสดงความดีใจเป็นธรรมดา คำถามนี้เองที่จะเป็นตัวชี้วัดว่าเราเป็นที่ต้องการของเพื่อนหรือไม่ เวลานัดกันเป็นกลุ่มมีเพื่อนคนไหนที่รู้สึกดีใจและอยากไปเพราะต้องการเจอเรา หรือหากเราไม่ว่างไปไม่ได้ เพื่อนคนไหนที่รู้สึกไม่อยากไปเพราะจะไม่ได้เจอเรา เรามีเพื่อนแบบนี้หรือเปล่า คำตอบของแต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ อันนี้เราต้องลองเก็บไปคิดดู
-
แต่งตัวให้เหมือนกับว่าวันนี้เป็นวันสำคัญ
ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบการแต่งตัวเท่าไหร่นัก หากวันไหนที่ไม่ได้ต้องเจอใครนี่ ก็คือใครเห็นไม่ได้เลยนะ เป็นอีเพิ้งมาก เคยมีความคิดว่าก็สบายดี ไม่เห็นต้องจัดเต็มอะไรมาก เสียเวลาและก็สิ้นเปลืองด้วย เอาแบบง่าย ๆ นี่แหละ บางครั้งเจอคนรู้จักเลยต้องรีบหลบแทบไม่ทัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป เริ่มโตขึ้น เจอผู้คนมากขึ้น ความคิดก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป เวลาเราเจอคนอื่นเห็นเขาแต่งตัวดี หมายถึงสุภาพเรียบร้อย คือดูตั้งใจ ไม่ได้หมายถึงว่าต้องแต่งให้หรู ก็จะรู้สึกดี โดยเฉพาะหากเป็นการนัดหมายกับเรา เราก็จะรู้สึกว่านั่นคือการให้เกียรติเรา จากนั้นเราก็เปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยการแต่งตัวให้ดูดีทุกครั้งเมื่อจะออกจากบ้านค่ะ คราวนี้ก็ไม่ต้องคอยหลบใครแล้ว เจอใครก็เข้าไปทักได้อย่างสบายใจ
-
เอ่ยปากขอโทษก่อน
ข้อนี้เป็นข้อที่ผู้เขียนอยากเขียนถึงมากที่สุดค่ะ คนที่เอ่ยคำขอโทษก่อนไม่ได้แปลว่าเขายอมรับผิดนะ แต่เป็นเพราะเขาแคร์คุณ เขาแคร์ความสัมพันธ์ที่มีกับคุณ เขาจึงเลือกที่จะพูดคำว่าขอโทษเพื่อให้ทุกอย่างกลับมาดีเหมือนเดิม ไม่ว่าใครจะเป็นคนผิดก็ตาม ผู้เขียนเองใช้วิธีนี้บ่อย ๆ ค่ะ เพราะเราเองมองว่าคนรอบ ๆ ตัวเราก็มีอยู่เท่านี้ เพื่อนบางคนเราคบกันมาหลายสิบปี แน่นอนมีโอกาสที่จะทะเลาะหรือมีความไม่เข้าใจกันได้ เราเองก็ไม่ได้คิดว่าเราเป็นคนผิดทุกครั้ง แต่ก็เลือกที่จะขอโทษก่อนแทบทุกครั้งเพราะเราเห็นความสำคัญของเวลาที่ผ่านมามากกว่าความไม่เข้าใจกันเพียงแค่ครั้งสองครั้ง
-
เคารพและให้อภัยพ่อแม่
พ่อแม่ก็เปรียบเสมือนกับพระในบ้าน ต้องให้ความเคารพและยกเอาไว้สำหรับทุกเรื่อง ไม่ว่าพ่อแม่เราจะเป็นอย่างไรก็ตาม จะเหมือนพ่อแม่ของเพื่อนหรือพ่อแม่ของคนอื่นหรือไม่ หรือพ่อแม่ของเราจะมีข้อไม่ดีอย่างไรก็ตาม เขาก็คือพ่อแม่ของเรา ลูกต้องเคารพและให้อภัยพ่อแม่ได้ในทุกเรื่อง ถ้าทำได้แบบนี้เราจะไม่มีอะไรติดค้างในใจที่จะเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิตต่อไปได้
-
อยากให้คนข้างหลังเขาจดจำคุณอย่างไร
ข้อนี้ไม่ต้องรอเราตายก่อนนะ เอาแค่ว่าเมื่อพูดถึงเราคนอื่นเขาจะคิดอย่างไร มองเราในมุมไหนค่ะ ผู้เขียนมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นคนอัธยาศัยดีมาก ทำงานประจำ แต่ว่างเป็นไม่ได้ จะต้องเข้าครัวทำอาหารอร่อย ๆ ให้สามีและลูกทานอยู่เสมอ เพื่อนคนนี้ดูมีพลัง ยิ้มแย้มแจ่มใสทุกครั้งที่ได้พบเจอ เป็นคนตลกสนุกสนาน ที่จริงทุกคนก็ต้องมีเรื่องให้คิดหรือปัญหาชีวิตกันบ้าง แต่เพื่อนคนนี้ไม่เคยทำให้ผู้เขียนรู้สึกเลยว่าเขามี ดังนั้นเมื่อจะต้องพูดถึงเพื่อนคนนี้เมื่อไหร่เราก็จะมีแต่สิ่งดี ๆ ที่จะพูดถึงเขาตลอดเวลา นี่เป็นตัวอย่างของคนที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้โดยแท้จริงที่ผู้เขียนอยากเอาเป็นแบบอย่าง แม้จะยังทำตามแบบเขาไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม คนเป็นพ่อแม่ก็เหมือนกัน ถ้าเราอยากให้ลูกจดจำเราในแบบไหน เราก็ต้องดำเนินชีวิตในแบบนั้น
นี่เป็นเพียง 5 กฎจากทั้งหมด 106 กฎที่ยกมาให้อ่านเป็นตัวอย่างเท่านั้นค่ะ ยังมีกฎอื่น ๆ อีกหลายข้อที่อ่านแล้วต้องหันมาดูตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ว่างเสมอสำหรับคนที่คุณรัก, ให้อภัยไม่เจ็บตรงไหนหรอก, ถ้าพูดอะไรดี ๆ ไม่ได้ ก็อย่าพูดเสียเลยดีกว่า หรือพอใจในสิ่งที่มีคือสุดยอดความสุข ใครอยากสร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตที่ดี ลองหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านกันดูนะคะ